สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

เปิดแผนดันไทย สู่ฐานอุตสาหกรรมใหม่ !!!
07/11/2015
ข่าวเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจไทยได้ก้าวมาถึงจุดที่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตจากเดิมที่เน้นการใช้แรงงานจำนวนมาก มาสู่การผลิตที่อาศัยองค์ความรู้ และสติปัญญาเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงมีเป้าหมายผลักดันให้โครงสร้างการผลิตไทยก้าวไปสู่ฐานอุตสาหกรรมใหม่ โดยคาดหวังเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตจากมือปืนรับจ้างผลิต หรือ OEM (OriginalEquipment Manufacturer) แล้วยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าของแบรนด์นำนวัตกรรมใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต



พุ่งเป้า 9 หมวดต้องไฮเทค

ที่ผ่านมา จะเห็นว่านโยบายสนับสนุนให้ไทยก้าวไปสู่การเป็นฐานอุตสาหกรรมใหม่จากรัฐบาล”ประยุทธ์”เป็นรูปธรรมมากขึ้น ไล่เรียงตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดใหญ่บีโอไอ) ไฟเขียวกดปุ่ม “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในระยะ 7 ปี” (พ.ศ. 2558-2564) เริ่มคิกออฟไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2558 โดยพุ่งเป้าไปสู่ฐานผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 9 หมวดอุตสาหกรรมใหม่ให้มีมูลค่าต่อชิ้นสูงขึ้น เช่น อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ, ชิ้นส่วนอากาศยาน, รถยนต์ไฮบริด ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า, การวิจัยและพัฒนา, สถานฝึกฝนวิชาชีพเฉพาะทาง โดยให้สิทธิประโยชน์เต็มที่ (ดูตาราง) โดยให้สิทธิประโยชน์ตามคุณค่าโครงการในพื้นที่ทั่วไป รวมถึงลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษมากขึ้นโดยยกเลิกโซนนิ่ง

 ผนวกซูเปอร์คลัสเตอร์

สอดคล้องกับมติครม.วันที่ 22 กันยายน 2558 ที่รัฐบาลไฟเขียวนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบ “คลัสเตอร์” โดยอัดสิทธิประโยชน์การลงทุนพิเศษเพิ่มเติมเข้าไปอีกลูก หวังว่า จะใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของ”ฐานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” และสามารถดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนรายเดิมและรายใหม่ ให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้เร็วขึ้น

โดยเฉพาะมาตรการ”ซูเปอร์คลัสเตอร์” ที่เน้น ผลักดันอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 4 กลุ่ม ได้แก่ คลัสเตอร์ยานยนต์และชิ้นส่วน คลัสเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม คลัสเตอร์ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และคลัสเตอร์ดิจิตอล ให้เข้าไปลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเป้าหมาย 9 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และภูเก็ต

ตามมาตรการซูเปอร์คลัสเตอร์ หากผู้ประกอบการรายใดตอกเสาเข็มในพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดทันที ไล่ตั้งแต่การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และลดหย่อน 50 % เพิ่มเติมอีก 5 ปี ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ที่กำหนด ทั้งคนไทยและต่างชาติ (ดูตาราง)

การขยับนโยบายส่งเสริมโดย ใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นยาโด๊ปยังไม่เพียงพอ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงต่างๆ และบางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังมีมาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs เข้ามาเสริมอีกทาง ด้วยการจัดสรรงบประมาณปี2559 จากกระทรวงต่างๆ ร่วมกับงบสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) ราว 5 พันล้านบาท งบดังกล่าวส่วนหนึ่งมาเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่เชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมกว่า 2 หมื่นราย ที่รอเสนอเพื่อทราบใน ครม.

จะเห็นว่ามาตรการเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องมือผลักดัน ส่งเสริมให้ไทยก้าวไปสู่ฐานอุตสาหกรรมใหม่ทั้งสิ้น!

 ต้องปลดล็อกความไม่พร้อม

มองอีกด้านแม้รัฐบาลจะใช้เครื่องมือต่างๆ เข้ามาเปลี่ยนฐานอุตสาหกรรมใหม่ แต่ถ้าไทยยังไม่ “ปลดล็อก” ความไม่พร้อมด้านหลักสูตรการศึกษาที่ต้องปรับให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การขับเคลื่อนไปสู่ฐานอุตสาหกรรมใหม่ก็ยาก!!

“โจทย์ใหญ่” ของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงาน จะต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างบูรณาการ ปรับปรุงโครงสร้างใหม่ระบบการศึกษาให้ตรงกับเป้าหมาย โดยเฉพาะการสร้างแรงงานที่มีความรู้ความสามารถทันต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัย รวมถึงผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญในงานวิจัยและพัฒนามากขึ้น เพื่อยกระดับศักยภาพในการแข่งขัน ก็จะทำให้การก้าวสู่ทำเนียบฐานการผลิตใหม่มีความพร้อมทุกด้านอย่างไม่มีข้อกังขา

 ทำไม่สุดทาง!ถูกแซงหน้าได้

สอดคล้องกับมุมมองของ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์ C ASEAN ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับอาเซียน เปิดเผยผ่าน”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การก้าวไปสู่ฐานการผลิตใหม่ของไทยยังมีความไม่พร้อมอยู่หลายด้านทั้งเรื่องพัฒนาคนให้ทันกับเทคโนโลยี และการให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนา(R&D) ยกตัวอย่างเรื่อง”คน”ทั้งในหลักสูตรสายวิชาชีพและอุดมศึกษายังไม่ได้รับการเรียนรู้ใหม่ๆ ไม่เกิดการถ่ายโอนความรู้ ไม่มีการศึกษาการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเข้มข้น จะเห็นว่าบางอุตสาหกรรมในอดีตเราเริ่มต้นจากการรับจ้างผลิต (OEM : Origianl Equipment Manufacturer) ให้กับแบรนด์ต่างๆ ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นOEM อยู่ ทั้งที่ฐานการผลิตไทย มีระยะเวลาสะสมประสบการณ์มานาน ควรพัฒนาขึ้นมาเป็นการผลิตที่มีดีไซน์หรือรูปแบบสินค้าเป็นของตนเอง (ODM : Original Design Manufacturer)ได้แล้ว

“ที่น่าตกใจ เวลานี้โรงเรียนเอ็นจิเนียริ่ง(วิศวกรรม)ในเวียดนามจะมีแนวคิดแบบคนอเมริกา คือเรียนเพื่อจะเป็นนักลงทุน หรือนักประดิษฐ์ แต่คนไทยเรียนเพื่อเรียน ตรงนี้ทำให้มองเห็นความแตกต่างว่า เวียดนามกำลังจะเดินไปอย่างก้าวกระโดด โดยสามารถเริ่มต้นตั้งโรงงานผลิตเป็น ODM ได้เลย โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากการเป็น OEM เหมือนกับไทย สอดคล้องกับที่หลายคนพูดว่าเวียดนามกำลังจะแซงหน้าไทย เพราะที่ผ่านมาไทยยังทำไม่สุดทาง!!!

เช่นเดียวกับที่ดร. ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีและผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า วันนี้เรากำลังก้าวไปสู่อุตสาหกรรมไฮเทคมากขึ้น ใช้แรงงานน้อยลง เริ่มก้าวไปสู่ฐานการผลิตใหม่โดยกลไกตลาด บางธุรกิจก็เริ่มเองไปแล้ว ซึ่งถือเป็นการตอบสนองการลงทุนโดยภาคเอกชนเอง ที่ชูเรื่องนวัตกรรม แต่การสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ยังไม่มีการตอบสนองนโยบายในระดับประเทศออกมา ซึ่งต้องให้เวลา

ลงทุน R&D และใส่นวัตกรรม

ด้านกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมที่ต้องมีเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา(R&D) เข้ามา เพราะจะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าให้สูงขึ้น การที่รัฐบาลเดินนโยบายดังกล่าวถูกต้องแล้ว โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ เช่น สิทธิประโยชน์ ซูเปอร์คลัสเตอร์ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่นการสนับสนุนให้นักวิจัยที่มาทำงานต้องสนับสนุนให้มาอยู่ในไทย เพราะเรามีผู้นำด้านนักวิจัยน้อยมาก

“ที่ผ่านมาเอสซีจีลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากที่ใช้งบ 40 ล้านบาทเมื่อปี 2547 เพิ่มเป็น 2.7 พันล้านบาท ในปี 2557 และปี2558 ครึ่งปีแรกใช้ไปงบไปแล้ว 1,473 ล้านบาท และเมื่อมาดูผลที่ได้รับจากาการพัฒนาและมีเรื่องนวัตกรรมเข้าไปด้วย พบว่าปี 2547 สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 7.78 พันล้านบาท คิดเป็น 4% จากยอดขายรวม และในปี2557 เพิ่มเป็น1.69 แสนล้านบาท คิดเป็น 35% ของยอดขายรวม (4.87 แสนล้านบาท)”

ในที่สุดแล้วฐานผลิตไทยจะหลุดพ้นจากความเป็นฐานผลิตที่รับจ้างผลิตได้หรือไม่ ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ต้องติดตามต่อไปว่านับจากนี้จะเกิดการตอบสนองนโยบาย “เปลี่ยนฐานอุตสาหกรรมใหม่” ของรัฐบาลได้แค่ไหน!!!

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,099 วันที่ 25 – 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ที่มาของข่าว: ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.