นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า สอท.อยู่ระหว่างการประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อลงนามบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) โครงการ “1 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด 1 มหาวิทยาลัย” และ “1 คลัสเตอร์ 1 มหาวิทยาลัย” โดยจะให้สภาอุตฯทั่วประเทศกว่า 74 จังหวัด คัดเลือกจุดเด่นอุตสาหกรรมของจังหวัด และเลือกมหาวิทยาลัยในพื้นที่ หรือพื้นที่ใกล้เคียงอย่างต่ำ 1 แห่ง ศึกษาทำข้อมูลวิชาการหรืองานวิจัยร่วมกัน เชื่อว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาการเข้าถึงงานวิจัยด้านวิชาการค่อนข้างจะยาก เพราะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับยอดขายเอสเอ็มอี
ทั้งนี้ คลัสเตอร์ซึ่งสอท.มีทั้งหมด 12 คลัสเตอร์ ประกอบการด้วย อาหาร, ยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ปิโตรเคมี, วัสดุก่อสร้าง, แฟชั่นและไลฟ์สไตล์, ยางและไม้ยางพารา, อุตสาหกรรมการเกษตร, พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม,สุขภาพและความงาม,วิศวกรรมเครื่องจักรกลและงามโลหะ, การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จะดำเนินการในลักษณะเดียวกัน คือ ให้แต่ละคลัสเตอร์เลือกมหาวิทยาลัยอย่างต่ำ 1 แห่ง มาทำงานวิจัยร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องนวัตกรรมต่างๆ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (โพรดักทิวิตี้)
“สอท.และกระทรวงศึกษาธิการ จะเซ็นเอ็มโอยูในหลักการใหญ่ก่อน แล้วจะให้แต่ละสภาอุตฯหรือแต่ละคลัสเตอร์ไปดำเนินการย่อยแต่ละจังหวัดคลัสเตอร์อีกที ซึ่งไม่จำเป็นต้องเลือกมหาวิทยาลัยแค่ 1 แห่ง อาจมากกว่า 1 แห่งได้ และอาจซ้ำกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของมหาวิทยาลัยด้วย แต่ในส่วนของสภาอุตฯแต่ละจังหวัด อยากให้เลือกมหาวิทยาลัยในพื้นที่ก่อน ซึ่งจะได้ประสานงานกันอย่างใกล้มากกว่า เชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะมีโครงการงานวิจัยอยู่แล้ว หากประสานงานกับผู้ประกอบการโดยตรง ก็จะทำโครงการตรงจุดและนำมาใช้งานได้จริง เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ”นายสุพันธ์ กล่าว
ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการ เบื้องต้นหลังจากแต่ละจังหวัดหรือแต่ละคลัสเตอร์ ร่วมเซ็นเอ็มโอยู กับมหาวิทยาลัยแล้ว เลือกโครงการในการทำวิชาการร่วมกันแล้ว หากต้องใช้งบประมาณเท่าใด จะให้ยื่นเรื่องของบประมาณมา จากนั้นสอท.จะพิจารณาว่า ควรขอประงบประมาณจากหน่วยงานใด ที่มีงบประมาณในการพัฒนาผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ หากงบประมาณเกิน อาจรวบรวมขอรัฐบาลก็ได้ ซึ่งจะพิจารณาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง