เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 3 อย่างไรก็ดี แนวโน้มการบริโภคภายในประเทศที่ยังมีความแข็งแกร่งทำให้นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าตัวเลขการเติบโตจะฟื้นกลับคืนมาในไตรมาสสุดท้ายของปี
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2558 ขยายตัวในอัตรา 1.5% เมื่อคำนวณเป็นอัตราเฉลี่ยตลอดทั้งปี ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่อัตราการขยายตัวอยู่ที่ 3.9% โดยปัจจัยหลักที่ฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นผลจากการสต๊อกสินค้าของภาคธุรกิจที่ลดลง อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์คาดหมายว่าการเติบโตจะดีขึ้นในไตรมาส 4
“แม้ว่าตัวเลขการเติบโต 1.5% จะอ่อนแอกว่าที่คาดหมายเล็กน้อย แต่รายละเอียดต่างๆ ถือว่าค่อนข้างดี ความต้องการจากผู้บริโภค ธุรกิจ และภาครัฐยังคงแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับความต้องการสินค้าและบริการที่ผลิตในสหรัฐฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจัยด้านลบที่สำคัญคือเรื่องของสต็อกสินค้า แต่ปัจจัยดังกล่าวจะค่อยๆ ลดน้อยลงไป และการเติบโตจะกลับฟื้นคืนมาในไตรมาส 4” สตวร์ท ฮอฟแมน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของพีเอ็นซี ให้ความเห็น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่สามารถขยายตัวอย่างรวดเร็วได้ต่อเนื่อง หลังจากเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2550-2552 โดยังไม่สามารถทำอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีได้เกินกว่า 2.5% ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ไว้ที่ 1.6%
การใช้จ่ายของผู้บริโภคในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 3.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 3.6% ในไตรมาส 2 ของปี โดยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ถูกลง ตลอดจนตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดแรงที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งการบริโภคภายในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของจีดีพีของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน การสต็อกสินค้าของภาคธุรกิจในโกดังและร้านค้าลดลงเป็นผลลบต่อตัวเลขจีดีพี ต่างกับช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ที่จำนวนสินค้าในสต็อกเป็นผลบวกต่อจีดีพี ภาคธุรกิจสหรัฐฯ สต๊อกสินค้าเป็นมูลค่า 5.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 3 ต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2557 ส่งผลให้จีดีพีลดลง 1.44% ลดลงถึงครึ่งหนึ่งจากไตรมาสเดือนเมษายน-มิถุนายนที่มูลค่าการสต๊อกสินค้าอยู่ที่ 1.135 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านการลงทุนของภาคธุรกิจมีทั้งส่วนที่เป็นบวกและลบ โดยการลงทุนด้านอุปกรณ์และทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนด้านการก่อสร้างลดลง ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าเป็นผลจากการที่อุตสาหกรรมพลังงานลดขนาดการลงทุน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ลดต่ำลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่การลงทุนของภาครัฐยังคงเพิ่มขึ้น และเป็นที่คาดหมายว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจตลอดทั้งปีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2553
การค้าเป็นปัจจัยที่ไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมในไตรมาสที่ผ่านมา ลดทอนความกังวลว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงจากความต้องการในต่างประเทศที่อ่อน ทั้งนี้ มูลค่าการค้าส่งผลให้จีดีพีในไตรมาส 3 ลดลงเพียง 0.03% โดยการส่งออกเพิ่มขึ้น 1.9% และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.8%
“นอกเหนือจากตัวเลขสต็อกสินค้า นับได้ว่าเป็นรายงานเศรษฐกิจที่ดี เป็นปัจจัยที่สนับสนุนการคาดการณ์ของเราว่าการเติบโตจะฟื้นกลับมาในไตรมาส 4” สก็อตต์ แอนเดอร์สัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ ออฟ เวสต์ กล่าว และเสริมว่าทางธนาคารคาดการณ์การเติบโตในไตรมาสสุดท้ายของปีไว้ที่ 2.5%
ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจล่าสุด ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนอีก 2 ครั้งให้สอดคล้องกับข้อมูลใหม่ที่มีเพิ่มเติมเข้ามา จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) นำมาใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกหลังจากคงไว้ที่ระดับใกล้เคียง 0% มาเป็นเวลาเกือบ 7 ปีเมื่อใด
ที่ประชุมเฟดในช่วงกลางสัปดาห์ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม แต่มีการส่งสัญญาณว่าจะมีการพิจารณาเรื่องการปรับดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม ซึ่งนอกเหนือจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว รายงานการจ้างงานประจำเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อจะเป็นสิ่งที่เฟดจับตามองอย่างใกล้ชิดก่อนการประชุมครั้งสุดท้ายของปี