ธปท.เผยภาวะเศรษฐกิจเดือนกันยายนมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการใช้จ่ายภาคเอกชน เชื่อภาคส่งออกมีสัญญาณฟื้นตัวช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 / สศค.หั่นเป้าจีดีพีปีนี้ เหลือ 2.8% คาด ปี 59 ขยายตัว 3.8% รับแรงหนุนจากลงทุนภาครัฐ
นางรุ่ง มัลลิกะมาศ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนกันยายน โดยระบุว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มเห็นสัญญาณการกระเตื้องขึ้นในส่วนของการใช้จ่ายภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งหมวดที่ยังขยายตัวได้คือสินค้าไม่คงทน 2.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อน รวมถึงในส่วนของภาคบริการที่ยังขยายตัวประมาณ 3% จากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าไม่คงทนที่มีการขยายตัวชัดเจนคือ สินค้าที่เกี่ยวกับพลังงาน หรือน้ำมัน ซึ่งเห็นได้จากดัชนีการใช้พลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
“ในภาคบริการนั้น ดัชนีการบริการยังมีการขยายตัว เพียงแต่ในเดือนนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์ โดยนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป ทำให้กิจกรรมในภาคบริการขยายตัวต่ำกว่าปกติไปบ้าง แต่ในภาพรวมก็ยังเป็นการขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน”
ด้านหมวดการก่อสร้างพบว่าเครื่องชี้โน้มลดลง สะท้อนการเลื่อนกิจกรรมออกไป เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ยังมีอุปทานส่วนเกินอยู่ ส่วน ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลต่อเนื่องเล็กน้อย โดยเกินดุลอยู่ที่ประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ น้อยกว่าเดือนที่ผ่านมา แต่ดุลการค้ายังเกินดุลเยอะที่ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยดุลบริการรายได้และเงินโอนเดือนนี้ติดลบ 2.4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ สะท้อนจากรายได้ของการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นภาวะปกติที่จะมีการส่งผลกำไรกลับประเทศของกลุ่มผู้ประกอบการที่มาจากต่างประเทศ
“บัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายในเดือนนี้ยังเป็นการไหลออกสุทธิ จาก 2 สาเหตุหลักได้แก่ 1.การถอนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของประเทศไทยของนักลงทุนต่างชาติ จากความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเกิดความพะวงอยู่ อีกทั้งเศรษฐกิจจีนก็ยังสร้างความกังวล ทำให้มีการถอนเงินจากตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกกลับสู่ตลาดหลัก และ 2.การออกไปลงทุนโดยตรงของคนไทยเองมากขึ้น”
ในส่วนของค่าเงินบาทเดือนกันยายนเป็นการอ่อนค่าไปพร้อมกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยเมื่อเทียบกับคู่ค้า และคู่แข่งถือว่าเงินบาทอ่อนลงเล็กน้อย แต่ในเดือนตุลาคมตลาดจะเริ่มมีความนิ่งมากขึ้น จากสัญญาณของเฟดที่ชัดเจน ทำให้มีเงินทุนไหลกลับเข้ามาบ้าง ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่เป็นการแข็งค่าพร้อมกับประเทศในภูมิภาคเช่นเดียวกัน ขณะที่หนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับที่ทรงตัวจากช่วงก่อนหน้า ส่วนเงินสำรองต่อหนี้ระยะสั้นต่างประเทศถือว่ามีเพียงพอที่ 2.8 เท่า
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 3/58 จะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส สะท้อนได้จากเครื่องชี้ทางการบริโภค และการลงทุนที่กระเตื้องขึ้นเล็กน้อย รวมถึงความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นบ้าง และรายได้นอกภาคเกษตรที่ไม่ทรุดลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนปัจจัยลบที่ต้องติดต่อเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งในภาพรวมอาจจะแย่ลง แต่เศรษฐกิจในประเทศถือว่าดีขึ้น จากการใช้จ่าภาครัฐที่ยังสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ด้านนางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า สศค.ได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปีนี้(2558) ลงเหลือ 2.8%(โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 2.6-3.1%)ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3% ทั้งนี้ คาดการณ์จีดีพีทั้งปีที่ 2.8%นั้นมาจากปัจจัยสนับสนุนหลักการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะอานิสงส์จากการเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับปี 2559 คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.8% โดยได้รับแรงส่งจากการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและโครงการรถไฟรางคู่ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงการรัฐได้