สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

บริษัทข้ามชาติเบนเข็มทิศการลงทุน จากจีนมุ่งอินเดียแม้อุปสรรคยังมากแต่ความเสี่ยงน้อยกว่า
22/10/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ล่าสุด บริษัท ฮาสโบรฯ ผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาที่มีฐานการผลิตอยู่ในจีน ตุรกี เวียดนาม และเม็กซิโก ได้ประกาศแผนรุกในอินเดียมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่จากนานาชาติอีกจำนวนมากที่กำลังขยายฐานการผลิตเข้าไปในอินเดีย ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า แนวโน้มนี้ไม่ได้สะท้อนว่าการลงทุนในอินเดียเป็นเรื่องสะดวกง่ายดายสำหรับต่างชาติ แต่มันสะท้อนถึงบรรยากาศการลงทุนที่ลำบากขึ้นในจีนมากกว่า

เหตุผลสำหรับฮาสโบรคือการขาดแคลนแรงงานและค่าจ้างแรงงานที่ขยับสูงขึ้นมากในมณฑลทางตอนใต้ของจีน แต่เมื่อถามว่าในอินเดียสะดวกราบรื่นกว่าหรือไม่ คำตอบคืออุปสรรคในอินเดียก็ยังมีอยู่มาก เช่น กฎระเบียบทางราชการที่ยุ่งยากในการที่นักลงทุนจะถือครองที่ดิน ทำให้บางครั้งโครงการลงทุนต้องล่าช้าออกไปเป็นเดือนๆ นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ ก็มีการก่อสร้างเพิ่มเติมล่าช้าไม่ทันความต้องการ และการคอร์รัปชันก็ยังมีอยู่

กระนั้นก็ตาม บริษัทข้ามชาติหลายรายแสดงความกังวลว่าจีนเริ่มจะมีความเสี่ยงมากขึ้นสำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมืองซึ่งถูกกระพือด้วยท่าทีของจีนในระยะหลังๆที่มีการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทำพิธีสวนสนามที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา หรือการเร่งสร้างสนามบินหลายแห่งซึ่งเป็นสนามบินมาตรฐานรองรับการใช้งานของกองทัพบนเกาะที่จีนถมทะเลสร้างขึ้นกลางทะเลจีนใต้ เป็นต้น เหล่านี้เป็นปัจจัยลบสำหรับจีนหากจะเปรียบกับอินเดียที่มีระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยที่มีความมั่นคง อีกทั้งค่าจ้างแรงงานก็ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับจีน ยกตัวอย่างเช่นค่าจ้างแรงงานมีฝีมือในเมืองปูเน่ ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งอินเดีย” เนื่องจากเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมรถยนต์ คนงานโรงงานผลิตรถยนต์ในปูเน่ได้รับค่าจ้างแรงงานประมาณ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถูกกว่าค่าแรงในจีนถึงครึ่งหนึ่ง

แต่ข้อด้อยของอินเดียก็ยังมีอยู่ไม่น้อยดังกล่าวข้างต้น เช่นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังต้องปรับปรุงอีกมากหรือยังมีไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นถนน ท่าเรือ หรืออื่นๆ ซึ่งทำให้ต้องใช้เวลายาวนานในการขนส่งหรือมีต้นทุนขนส่งสูงขึ้น

รัฐบาลอินเดียได้พยายามส่งเสริมการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตควบคู่ไปกับการส่งเสริมการส่งออกในฐานะโรงงานของโลก นายรากุราม ราจัน ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งอินเดีย ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดีย ได้เคยกล่าวไว้ว่า การเร่งเพิ่มการส่งออกของอินเดียอาจจะไปกระทบประเทศผู้ส่งออกรายอื่นๆอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง “เราจะต่อสู้หนักขึ้นเพื่อส่วนแบ่งตลาด” หัวเรือใหญ่แบงก์ชาติอินเดียกล่าว

นักวิเคราะห์ให้ทรรศนะว่า แม้อินเดียจะเป็นตลาดใหญ่ที่มีจำนวนผู้บริโภคเย้ายวนใจบริษัทข้ามชาติ แต่การเร่งเพิ่มการผลิตสินค้าปริมาณมหาศาลก็อาจจะทำให้ตลาดภายในประเทศไม่สามารถรองรับอุปทานที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ทัน ยกตัวอย่าง เช่นโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้มีบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนของจีนอย่างน้อย 4 ราย คือ หัวเหว่ย วันพลัส คูลแพด และออปโป้ ที่ได้ประกาศเอาไว้แล้วว่ามีแผนจะเข้าไปตั้งโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนในอินเดีย ส่วนอีกรายคือเสี่ยวมี่ก็กำลังจับมือกับฟ็อกซ์คอมตั้งโรงงานประกอบโทรศัพท์มือถือในอินเดีย ขณะที่เลอโนโวมีแผนจับมือกับเฟล็กซ์โทนิคลงทุนในอินเดียเช่นกัน ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากตลาดจีนเริ่มอิ่มตัวขณะที่อินเดียมียอดคนซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องแรกนับล้านๆคนในแต่ละปี

แต่ในกลุ่มสินค้าที่มีคุณภาพสูงและราคาแพง เช่น รถยนต์หรู การบุกสร้างส่วนแบ่งตลาดในอินเดียยังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากยังคงต้องสร้างฐานลูกค้าชนชั้นกลางให้มากกว่านี้ เพราะแม้ว่าอินเดียจะมีจำนวนประชากรเกือบๆจะแซงหน้าจีนแล้วในปัจจุบัน แต่ยอดขายรถยนต์ในอินเดียยังอยู่ที่ระดับเพียง 2 แสนคันต่อเดือน ผิดกับตลาดจีนที่มียอดขายรถยนต์ถึงเกือบๆ 2 ล้านคันต่อเดือน ประเภทของรถยนต์ที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดในอินเดียคือ รถขนาดเล็กราคาประหยัดซึ่งผลิตโดยบริษัทท้องถิ่น เช่น มารูติ ไม่ใช่รถขนาดใหญ่กว่าและมีราคาแพงกว่าที่ผลิตโดยบริษัทรถยนต์ต่างชาติ “แม้แต่ในหมู่คนรวยของอินเดีย คนที่มีเงินพอที่จะซื้อรถอะคูร่า ก็ยังอาจเลือกซื้อซีวิคแทน” พอล บล็อกแลนด์ ผู้อำนวยการบริษัท เซ็กเมนท์ วายฯ ผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยอุตสาหกรรมรถยนต์ในอินเดียกล่าว

ที่มาของข่าว: ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.