สัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลากเรื่อง ไล่เลียงตั้งแต่เคลียร์ข้อสงสัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนวโน้มจีดีพีปีหน้า การบริหารการคลังยุครายได้เพิ่มรายได้ลด และ เป้าหมายในฝัน ที่รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน อยากฝากไว้เป็นผลงาน
ประเมินผลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
อภิศักดิ์ รัฐมนตรีคลัง กล่าวสรุปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลขับเคลื่อนลงไปว่า สิ่งที่ลงไป (มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ) เท่าที่รู้กันว่าทำเพื่อช่วยคนที่ลำบาก กลุ่มเกษตรกรและคนจนเมื่อ มาตรการที่ออกไปเข้าคณะรัฐมนตรียังไม่ถึงเดือน (เริ่ม 1 กันยายน) ซึ่งเท่าที่ติดตามผล 2สัปดาห์เงินกองทุนหมู่บ้าน 2.5 หมื่นล้านบาท จริงๆตั้งใจให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ส่วนเงินลงทุนตำบลละ 5 ล้านบาทต่อตำบลเพื่อให้สร้างระบบสาธารณูปโภคนั้นแม้ยังไม่ลงทุนเป็นตัวเงินแต่ถึงขั้นตอนลงทะเบียนและทราบว่าแต่ละตำบลจะทำโครงการอะไร และงบ 1 ล้านบาทเริ่มเบิกจ่ายแล้ว 2.2 หมื่นล้านบาทซึ่งเป้าหมายเหมือนกันคือ แล้วเสร็จสิ้นปี โดยโครงการที่จะได้รับอนุมัติทั้งหมดรวมๆ เกือบ 1.4 แสนล้านบาทซึ่งจะเป็นเงินที่ไหลลงไปช่วง 3 เดือนปลายปี
“จริงๆเงินที่เติมลงไปเพราะเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดี ซึ่งมีผลต่อส่งออกของไทย จึงเติมตรงนี้เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ แต่ส่วนอื่นก็ลดลงเยอะเหมือนกัน คิดว่าช่วง 3 เดือนนี้ภาคส่งออกน่าจะดีขึ้น เพราะเป็นซีซัน(ฤดูกาล) ปลายปี รวมทั้งภาคการท่องเที่ยว น่าจะเป็นตัวประคับประคองแต่อัตราการเติบโตของจีดีพีเป็นที่คาดเดายากแต่อย่างน้อยไม่ให้ทรุดเกินไป” รัฐมนตรีคลังกล่าว
คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้อย่างไร ?
กรณีหลายสำนักวิจัยปรับลดประมาณการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) นั้น เพราะทุกคนเห็นภาคส่งออกเป็นตัว Variable (ผันแปร) ตอนนี้บอกส่งออกลดลงแน่นอน จากเมื่อก่อนเคยมองเป็นบวก ซึ่งทุกคนปรับตัวเลขลงกันใหญ่แต่ยังไม่นับสิ่งที่เติมลงไปซึ่งพอจะช่วยได้บ้างแต่ไม่มากเท่าภาคส่งออกที่มีสัดส่วน 70% (ของจีดีพี) ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ประเมินว่าจะมีผลต่อจีดีพี 0.4% แต่จะมีลดหรือเพิ่มมากน้อยแค่ไหนโดยส่วนตัวมองจีดีพีปีนี้ไม่น่าจะขี้เหร่ ยังอยู่ใกล้เคียง 3%
มองเศรษฐกิจโลก/ประเมินของไทย
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้า (2559) อภิศักดิ์ ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะดีขึ้นแต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ส่วนยุโรปเศรษฐกิจคงไม่แย่ไปกว่านี้ ส่วนจีนหากเศรษฐกิจ(จีน)สโลว์ดาวน์ย่อมกระทบไทย “แต่ผมมั่นใจทางการจีน โดยเชื่อว่าเขามีเครื่องไม้เครื่องมือจะจัดการกับเศรษฐกิจได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยยังไม่ต่ำมาก ขณะเดียวกันจีนมีทุนสำรองระหว่างประเทศมหาศาลใหญ่ที่สุดในโลกฉะนั้นการแก้ปัญหาของประเทศที่มีเงินจึงมีเครื่องไม้เครื่องมือที่จะจัดการกับเศรษฐกิจได้ดีกว่าประเทศที่ไม่มีเงิน” รัฐมนตรีคลังกล่าวตอนหนึ่ง
ทำไมธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ มองต่างมุม ?
อภิศักดิ์ตอบคำถามที่ว่า “มองการประเมินเศรษฐกิจไทยของธนาคารโลกอย่างไรว่า” โดยหลักการตนเองไม่ก้าวก่ายการประเมินของเขา(ธนาคารโลก) เพราะเป็นของแต่ละสถาบันแต่มีข้อสังเกตว่า”เวิลด์แบงก์ ประเมินไทยจะเติบโต 2% (ปีหน้า) แต่องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งเป็นหน่วยงานเดียวกัน ประเมินไว้ที่ระดับ 3.2%”
เตรียมออกมาตรการกระตุ้นชุด 2
กับคำถามเรื่องความคืบหน้าของมาตรการเร่งเบิกจ่าย “อภิศักดิ์” ยืนยันว่า มาตรการที่สำนักงบประมาณผลักดันทั้ง เร่งรัดงบโครงการต่ำกว่า 2 ล้านบาท และโครงการที่งบลงทุนระหว่าง 200-500 ล้านบาท เริ่มเข้าสู่ระบบ ส่วน “มาตรการกระตุ้นชุด 2” หรือมาตรการระยะกลางที่เริ่มขับเคลื่อนออกมาคือ เน้นการลงทุนภาคเอกชน เช่นบีโอไอให้สิทธิพิเศษสำหรับการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทุนการลงทุนอื่นๆ เพื่อรองรับก่อน เงินลงทุนจากเมกะโปรเจ็กต์ที่ประเมินไว้ 3-4 แสนล้านบาท ในอนาคต
3 เป้าหมายที่อยากฝากไว้เป็นผลงาน
กับภาระหน้าที่ ที่รัฐมนตรีคลัง อภิศักดิ์ บอกว่าเป้าหมายส่วนอยากเห็น 3 สิ่ง 1. ทำอย่างไรให้ประเทศเจริญเติบโตสามารถก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน สามารถดูแลฐานะการเงินของประเทศให้มีความมั่นคงพอสมควร และเหมือนกันคือ 2. ทำอย่างไรให้ประชาชนทุกกลุ่มอยู่ได้มีความสุขเพียงพอ ที่สำคัญต้องไม่ปล่อยให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง ซึ่งตั้งใจจะทำสิ่งเหล่านี้ ถ้าทำได้ตามนี้ในที่สุดจะลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งสังเกตมาตรการที่ออกมาก็เพื่อจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ส่วนกลุ่มคนรวยก็ส่งเสริมหรือแก้ปัญหากรณีติดขัดเสร็จแล้วเขาสามารถจูงคนที่อยู่ข้างล่างไปให้หมด
นอกจากนี้สิ่งที่ตั้งใจไว้ต้องสอดคล้องกับความสามารถของประเทศด้วย คือ 3. ไม่ใช่มองเฉพาะรายจ่ายอย่างเดียวแต่ต้องคิดถึงฝั่งรายได้ด้วย ซึ่งตอนนี้รายได้เติบโตไม่เต็มที่แต่ค่าใช้จ่ายสูง จึงเป็น “โจทย์” ซึ่งจะมีวิธีจัดการโดยหวังว่าจะดีขึ้น บวกกับสิ่งที่จะทำใน 2 ส่วนคือ e-payment เปรียบเหมือนโครงสร้างพื้นฐาน ทางการเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงินของประเทศ
ขณะเดียวกันจะผูกเรื่องภาษีด้วย ซึ่งทุกครั้งที่จ่ายค่าสินค้าหรือบริการจะหักภาษีไปในตัวทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีหัก ณ ที่จ่าย แต่ผลประโยชน์ที่จะต่อเนื่องจากจุดนี้คือ สามารถมีฐานข้อมูลประชาชนที่ลงทะเบียนซึ่งอาจจะมีบัตรประชาชนเป็นกระเป๋าเงิน เวลาจ่ายค่าน้ำค่าไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้คนได้รับยกเว้นหรือจ่ายน้อยหน่อย และสามารถดูแลผู้มีรายได้น้อยหรือคนด้อยโอกาสง่ายขึ้น เช่นปัจจุบันโครงการรถเมล์ฟรีต้องจัดรถทั้งคัน แต่ฝรั่งเข้ามาเที่ยวก็ฟรีเหมือนกันซึ่งควรจะมีจุดประสงค์ลงไปตรงนั้นเพื่อค่าใช้จ่ายจะน้อยลง และส่วนนี้จะทำให้การจัดเก็บภาษีสูงขึ้น อีกส่วนที่พูดไปแล้วคือ พยายามให้ผู้ประกอบการมีบัญชีเดียวในการเสียภาษีที่ถูกต้องโดยหวังทั้ง 2 ส่วนจะช่วย Boost และเป็นการขยายฐานการจัดเก็บเพื่อมีรายได้ที่ได้รับอยู่ในวิสัยมากขึ้นพอจะปิดค่าใช้จ่ายได้ ถ้าทุกคนร่วมใจกันเสียภาษี
การคลังสมดุลยังไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับนโยบายการคลังยั่งยืนนั้น ยังคงมีอยู่เป็น Object (เป้าประสงค์) แต่การคลังจะยั่งยืนได้เศรษฐกิจของประเทศจะต้องดี ถ้าเศรษฐกิจของประเทศไม่ดีการทำงบสมดุลยังเป็นไปได้ยาก แต่ยืนยันยังคงมีเป้าหมายจะเกิดงบสมดุล แต่ระยะ 2-3 ปีคงยัง เพราะต้องดูว่าไทยจะฟื้นตัวอย่างไร ขณะที่ประทศอื่นยังต้องทำคิวอี
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3096 วันที่ 15 – 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558