ส.อ.ท.ระบุ ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นในรอบ 9 เดือน ความเชื่อมั่นคาดการณ์อนาคต 3 เดือน ฟื้นตัวในรอบ 10 เดือน เพราะเอกชนมั่นใจนโยบายรัฐ ค่าบาทอ่อน ยอดคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่ม พร้อมแนะรัฐบาลเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณและโครงการพีพีพี
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยในเดือน ก.ย.58 ว่า ส.อ.ท. ได้สำรวจความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ 1,201 ราย ครอบคลุม 44 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. โดยพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 82.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 82.4 ในเดือน ส.ค. ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 102.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 102.0 ในเดือน ส.ค. และเป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบ 10 เดือน โดยค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากองค์ประกอบยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิตและผลประกอบการ ซึ่งผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การใช้จ่ายโครงการลงทุนขนาดเล็ก และการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จะเป็นปัจจัยบวกในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
“ปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นมาจากการมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเพื่อจำหน่ายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยเฉพาะคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อการส่งออก และผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การใช้จ่ายโครงการลงทุนขนาดเล็กและการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หลังมีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเกิดความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจ ไทยจะขยายตัวในระยะต่อจากนี้ ล่าสุด รัฐบาลยังออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะช่วยให้ความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น”
ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นจำแนกตามขนาดของกิจการ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของอุตสาหกรรมทุกขนาด ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือน ส.ค. โดยอุตสาหกรรมขนาดย่อม ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 73.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 72.9 ในเดือน ส.ค. สำหรับอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่ค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยา สมุนไพร เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 99.3 เพิ่มขึ้นจาก 98.3 ในเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ ในส่วนของอุตสาหกรรมขนาดกลางมีค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 81.7 เพิ่มขึ้นจาก 79.2 ในเดือน ส.ค. อุตสาหกรรมขนาดกลางที่ค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำตาล การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ และกระดาษ เป็นต้น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 103.8 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 103.2 ในเดือน ส.ค. ด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 93.9 เพิ่มขึ้นจากระดับ 93.5 ในเดือน ส.ค. โดยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ค่าดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ อุตสาหกรรมพลาสติก, เคมี และปิโตรเคมี เป็นต้น ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาด–การณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 104.5 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 104.0 ในเดือน ส.ค.
นายสุพันธุ์กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ จำแนกเป็นกลุ่มที่เน้นการส่งออก และกลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศ พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ กลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศ และกลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากในเดือน ส.ค. กลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ที่ระดับ 81.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 80.8 ในเดือน ส.ค. อุตสาหกรรมในกลุ่มนี้ ที่ค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง แก้วและกระจก หล่อโลหะ เป็นต้น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 101.7 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 101.3 ในเดือน ส.ค. ส่วนกลุ่มที่เน้นการส่งออก ดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ที่ระดับ 90.2 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 89.8 ในเดือน ส.ค. อุตสาหกรรมในกลุ่มนี้ที่ค่าดัชนีฯ เพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและโลหะการ และไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม เป็นต้น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 106.6 เพิ่มขึ้นจากระดับ 105.1 ในเดือน ส.ค.
“ข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการที่มีต่อภาครัฐในเดือน ก.ย.คือ อยากให้ภาครัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงบลงทุนในโครงการที่รัฐบาลได้อนุมัติไปแล้ว รวมถึงกำหนดแผนปฏิบัติงานให้เป็นรูปธรรมและเป็นไปตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งเจรจาการค้ากับประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อขยายตลาดและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน พร้อมทั้งต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนหรือรูปแบบ PPP (Public–Private Partnership) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วย”.