สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

3 กลไกปรับกระบวนทัพ ศก.ไทย ‘ประสาร’เสนอ3แนวทางรักษา‘รัฐเอื้อ-เอกชนพร้อม-หลอมคน’
16/10/2015
ข่าวเศรษฐกิจ
อดีตผู้ว่า ธปท.”ประสาร”แนะ 3 แนวทางปรับกระบวนทัพไทย รับพลวัตรใหม่ของเศรษฐกิจโลกกดดันให้ตั้งรับรอวันพลิกฟื้น-แต่การทบทวนปัญหาเชิงโครงสร้างที่เผชิญท้าทายยิ่งกว่า แนะรัฐสนับสนุนเอกชนพร้อมปรับตัวรับสภาพการแข่งขันและหลอมคน โดยเฉพาะสังคมสูงวัยในยุคถัดไปต้องบ่มเพาะกันเนิ่นๆ เพื่อยืดชีวิตการทำงานที่ยาวขึ้น

3กลไกปรับกระบวนทัพศก.ไทย ‘ประสาร’เสนอ3แนวทางรักษา‘รัฐเอื้อ-เอกชนพร้อม-หลอมคน’

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในการกล่าวปาฐกถาภายใต้หัวข้อ “ปรับกระบวนทัพเศรษฐกิจไทย รับพลวัตเศรษฐกิจโลก” ในงานครบรอบการก่อตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญครบรอบ 130 ปี ณ โรงแรม แกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน กรุงเทพฯ โดยระบุว่า การปรับกระบวนทัพของเศรษฐกิจไทยไม่เพียงประคองตัวให้รอดพ้นจากผลกระทบระยะสั้น แต่จะต้องสร้างความแข็งแกร่งได้ในระยะยาวนั้น โดยดำเนินการใน 3 ประการที่สำคัญ ได้แก่ 1.รัฐเอื้อ ในหมายความว่า ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องผลักดันให้กลไกตลาดเป็นเครื่องมือชี้นำโดยจะต้องสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจเอื้ออำนวยให้ภาคเอกชนได้แสดงความสามารถในการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ

“รัฐต้องปรับบทบาทจากคุณดำริ (Directive) หรือผู้ชี้นำมาสู่บทบาทของคุณอำนวย (Facilitative) หรือ ผู้สนับสนุน โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานหรือให้แรงจูงใจในด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่สามารถใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และทรัพยากรของภาคเอกชนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากภาครัฐไม่มีความรู้ความเข้าใจการดำเนินธุรกิจ และมักจะขับเคลื่อนนโยบายไม่ทันกาล”

ทั้งนี้ ภาครัฐต้องให้การอุดหนุนอย่างเพียงพอเพื่อส่งเสริมเอกชนในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว เช่น การลงทุนในการวิจัยพื้นฐานที่ช่วยพัฒนาองค์ความรู้ หรือกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างสูงสุด ยกตัวอย่าง แนวทางการปรับสิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน(บีโอไอ) ที่มุ่งลงทุน/ส่งเสริมในพื้นที่เฉพาะเจาะจง โดยเน้นอุตสาหกรรมที่เอกชนเล็งเห็นว่ามีอนาคตรวมถึงการดึงดูดการลงทุนที่ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำคือ ผู้วิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตวัตถุดิบ จนถึงปลายน้ำคือ ผู้ผลิตสินค้าสำเร็จรูป หรือการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีขั้นสูง การสร้างนวัตกรรมและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการอื่นๆ ในห่วงโซ่การผลิต

ในส่วนของ ธปท. ได้เน้นสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้อต่อการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่จำเป็น โดยผ่อนคลายระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายระบบการเงินให้เชื่อมโยงกับภูมิภาคมากขึ้น เพื่อผลักดันให้บริการทางการเงินทำหน้าที่สนับสนุนการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศได้อย่างเหมาะสม พัฒนาให้ระบบการชำระเงินสนองตอบความต้องการของภาคธุรกิจ และส่งเสริมกลไกตลาดให้จัดสรรเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการพัฒนาระบบการเรียกเก็บเช็คด้วยภาพเช็ค (ICAS) ซึ่งช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจด้วยการลดต้นทุนของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลเอสเอ็มอีเพื่อให้สถาบันการเงินเข้าถึงข้อมูลสำหรับวิเคราะห์การปล่อยสินเชื่อ ตลอดจนส่งเสริมกลไกการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อสนับสนุนให้เอสเอ็มอีกลุ่มที่ควรได้รับสินเชื่อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในต้นทุนที่เหมาะสม

2.เอกชนพร้อม หมายความว่า ภาคเอกชนต้องพร้อมปรับตัวให้สามารถแข่งขันได้ โดยหมั่นสำรวจสถานะทางธุรกิจของตนเทียบกับคู่แข่งจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อหาช่องทางในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดบทเรียนในอดีตของไทย ที่ไม่ได้เตรียมการสะสมทุนและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะเพียงพอรับมือกับความเปลี่ยนแปลงรสนิยมของผู้บริโภค โดยการประยุกต์ใช้เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่ดีภายใต้ความเชื่อมโยงทางการเงินที่สูงขึ้นในโลก สร้างโอกาสในการระดมทุน/ลงทุนเมื่อตลาดการเงินโลกมีประสิทธิภาพ และสภาพคล่องมากขึ้น ตลอดจนขยายการค้า และการลงทุนในภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิต ตลาด และทรัพยากร ซึ่งต้องพัฒนาธุรกิจให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในขั้นตอนการผลิตของโลก โดยปรับจากการฝังตัวอยู่กับกิจกรรมระหว่างการผลิต ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มต่ำ เช่น การประกอบชิ้นส่วนมาเป็นกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า อาทิ การวิจัยและพัฒนาซึ่งเป็นกิจกรรมก่อนการผลิต หรือการค้า และการตลาด ซึ่งการผันตัวสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมจะสอดคล้องกับโครงสร้างการค้าโลกในรูปแบบใหม่ ที่ประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาค้าขายสินค้าที่ใกล้เคียงกัน

และ 3.หลอมคน โดยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง ซึ่งไทยมีปัญหาด้านทรัพยากรมนุษย์ทั้งมิติปริมาณที่ไม่เพียงพอ และมิติคุณภาพ โดยมิติปริมาณนั้นตัวเลขอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำกว่า 1%ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 5 ปีสะท้อนปัญหาเฉพาะจุดเป็นพิเศษคือ ขาดแคลนแรงงานด้านอาชีวศึกษาเพื่อเป็นกำลังสำคัญในภาคอุตสาหกรรม ขณะแรงงานระดับปริญญาตรีขาดแคลนผู้สำเร็จการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์เพราะส่วนใหญ่มีวุฒิปริญญาทางสังคมศาสตร์ และบริหารธุรกิจ

สำหรับมิติคุณภาพนั้น จากผลการศึกษาชิ้นหนึ่ง ระบุว่าประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐในด้านการศึกษาสูงที่สุด ท่ามกลางประเทศสมาชิกกลุ่มธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และแปซิฟิก แต่กลับมีคะแนนสอบ PISA ของผู้เข้ามหาวิทยาลัยอยู่ในอันดับ 8 จาก 10 ประเทศ โดยสูงกว่าเพียงมาเลเซีย และอินโดนีเซียเท่านั้น สะท้อนว่าไม่ได้ พิจารณาถึงคุณภาพนักศึกษาและขาดการติดตามตรวจสอบถึงผลสัมฤทธิ์ในการทำงานหลังจากสำเร็จการศึกษา

” พลวัตเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปกดดันให้ไทยต้องตั้งรับประคับประคองเพื่อรอวันพลิก ฟื้น แต่สิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่าคือการทบทวนปัญหาเชิงโครงสร้างที่เผชิญ เพื่อปรับกระบวนทัพเศรษฐกิจไทยให้สามารถก้าวล้ำเศรษฐกิจโลก ดังแนวทางรัฐเอื้อ เอกชนพร้อม หลอมคน ซึ่งรัฐบาลต้องปรับลดบทบาทชี้นำ แต่เน้นสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วม ในการกำหนดนโยบายพัฒนาบุคลากรของชาติ โดยเฉพาะประเด็นหลอมคน ซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในภาวะสังคมสูงวัยในยุคถัดไป คนต้องมีช่วงชีวิตในการทำงานยืดยาวกว่าปัจจุบัน ยิ่งเราคาดหวังให้คนรุ่นใหม่สามารถทำหน้าที่ในสังคมได้ยาวนานเท่าใด เราก็ต้องยิ่งบ่มเพาะพวกเขาแต่เนิ่นๆเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม การไขปัญหาตลาดแรงงานของไทย คือการร่วมกันระหว่างภาครัฐ และเอกชน เพื่อผลักดันให้กลไกในตลาดแรงงานทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าแม้ผู้ประกอบการจะมีความต้องการแรงงานอาชีวศึกษามากกว่าปริญญาตรีในบางสาขา แต่อัตราค่าจ้างของกลุ่มอาชีวศึกษาไม่ได้ปรับเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญพอที่จะดึงดูดให้เด็กรุ่นใหม่ตัดสินใจเลือกเรียนต่อในด้านนั้น รัฐจึงมีส่วนสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลความต้องการในตลาดแรงงานให้กับฝั่งอุปทานรับทราบ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการหรือด้านอุปสงค์ต้องยอมรับการแข่งขัน และให้ค่าจ้างที่เหมาะสมเพื่อให้ได้มาซึ่งแรงงานตามคุณสมบัติที่ต้องการ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3095 วันที่ 11 – 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ที่มาของข่าว: ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.