นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังมอบนโยบายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ว่า ได้สั่งให้ สสว.ไปช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้ได้ 70,000 ราย แบ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือ 1.กลุ่มเอสเอ็มอีเกิดใหม่ หรือกลุ่มสตาร์ตอัพ 2. กลุ่มเดิมที่ต้องพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้น และ 3.กลุ่มที่ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างรุนแรง หรือกลุ่มเทิร์นอะราวด์

สำหรับกลุ่มเอสเอ็มอีเกิดใหม่ต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เพราะในอนาคตจะมีบทบาทในการจ้างงานเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาเป็นเสาหลักของประเทศ โดยเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายที่จะส่งเสริม ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจซอฟต์แวร์ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไอที กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ แปรรูปอาหาร ร้านอาหาร สปา และค้าปลีก โดย สสว.ต้องเข้าไปคัดเลือกผลงานวิจัยในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยต่างๆ คัดเลือกบุคลากรที่มีนวัตกรรมตั้งแต่ต้นน้ำ และนำเข้ามาพัฒนาให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ 10,000 ราย ในปี 2559-2561

นอกจากนี้ จะต้องเข้าไปช่วยพัฒนาเอสเอ็มอีที่ดำเนินการอยู่แล้วให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ยกระดับไปสู่การส่งออก ก้าวขึ้นไปเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ให้ได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 50,000 ราย รวมทั้งช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาการดำเนินธุรกิจอย่างรุนแรง ให้พลิกฟื้นขึ้นมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้ 10,000 รายต่อปี ในส่วนของการส่งเสริมด้านการตลาด สสว. ต้องจัดทำเว็บไซต์เพื่อเป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้า ให้กับเอสเอ็มอีรายย่อย และวิสาหกิจชุมชน ที่ไม่มีกำลังในการทำเว็บไซต์ เนื่องจากช่องทางนี้ทำให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดในวงกว้าง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยให้คัดผู้ประกอบการ ที่มีศักยภาพให้เข้ามาในเว็บไซต์นี้ก่อน จากนั้นก็จะขยายจำนวนเอสเอ็มอีให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดการสร้างแบรนด์ และเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น

นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการ สสว.กล่าวว่า งานที่จะเร่งทำคือ การช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชน (โอทอป) ในพื้นที่ประสบภัยแล้งเพื่อให้มีรายได้ คาดว่าจะมีเอสเอ็มอีได้รับการช่วยเหลือ 9,000 ราย ซึ่งจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการหาพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับกลุ่มโอทอป นำสินค้าออกไปเปิดตลาดในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ รวมทั้งยังได้ประสานงานความร่วมมือกับสถานีบริการน้ำมัน เช่น ปตท. ในการเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า เป็นต้น.