นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบหลักการตามกรอบนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ ให้อุตสาหกรรมไทย สามารถแข่งขันกับยุโรปได้ และให้เกิดการจูงใจทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มการผลิตไทยในอนาคต โดยจะดำเนินการให้เป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ หรือ กิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
นางอรรชกา สีบุญเรือง รัตมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมแบบซูเปอร์คลัสเตอร์ ประกอบด้วย ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม, ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, ดิจิทัล, Food Innopolis และ Medical Hub ในพื้นที่ 9 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และภูเก็ต
สำหรับซูเปอร์คลัสเตอร์ จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี โดยรับการยกเว้นสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และลดหย่อน 50% อาจเพิ่มเติมอีก 5 ปี สำหรับกิจการเพื่ออนาคตที่มีความสำคัญสูงกระทรวงการคลังจะพิจารณายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 10-15% ยกเว้นภาษีอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติที่ทำงานในพื้นที่ที่กำหนด ทั้งคนไทยและต่างชาติ
ส่วนกลุ่มคลัสเตอร์อื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น คลัสเตอร์ เกษตรแปรรูป คลัสเตอร์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี และลดหย่อน 50% เพิ่มเติมอีก 5 ปี และยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ขณะที่มาตรการไม่ใช่ทางภาษีในกลุ่มซูเปอร์คลัสเตอร์ก็ยังจะได้รับพิจารณาให้ถิ่นที่อยู่ถาวร สำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับนานาชาติ และอนญาตให้ต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมได้
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กล่าวว่า การขอรับสิทธิประโยชน์ของคลัสเตอร์มีเงื่อนไขว่าจะต้องร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ที่อยู่ในคลัสเตอร์ เพื่อสนับสนุนบุคลากรและยกระดับเทคโยโลยี และต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในสิ้นปี 2559 และต้องเริ่มดำเนินการภายในสิ้นปี 2560 เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว แต่ในกรณีที่มีความจำเป็น เช่น เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ พิจารณาผ่อนปรนตามความเหมาะสมได้