สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ซื้อของไทยใช้ของดี ศก.ดีเอสเอ็มอีรุ่ง
25/09/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ภาคอุตสาหกรรมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ภายใต้งาน Thailand Industry Expo 2015...“มหกรรมซื้อของไทย ใช้ของดี” ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า งานนี้จัดเป็นปีที่สองแล้ว หวังว่าจะจัดทุกปี...เพื่อเอาผลงานที่กระทรวงฯได้พัฒนาผู้ประกอบการเอามาโชว์

ยกตัวอย่างเช่นใน 1,500 บูธจะรวมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน โอทอปทั่วประเทศ ไม่นับรวมผู้ประกอบการรายใหญ่ภาคอุตสาหกรรมอีกไม่น้อยกว่า 50 รายที่เอาสินค้ามาจำหน่ายในราคาพิเศษ รวมถึงสถาบันการเงินก็เข้ามาร่วมด้วย เพื่อเตรียมความพร้อม เชื่อมโยง สร้างเครือข่าย สร้างโอกาสทางธุรกิจ

ดร.อรรชกา ย้ำว่า งานนี้เป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ มีช่องทางในการขายสินค้า กระจายผลงานได้มากขึ้น นอกจากนี้แล้ว สำหรับผู้บริโภคทั่วไปก็มาเลือกชม เลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษได้เช่นกัน

ที่สำคัญอยากให้ผู้ประกอบการที่เป็นเอสเอ็มอี หรือผู้ที่สนใจอยากจะทำธุรกิจได้มาเห็น มาดูนิทรรศการเกี่ยวกับนวัตกรรมต่างๆ ให้ผู้ประกอบการได้เห็นรายที่เอานวัตกรรมมาใช้ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้วประสบความสำเร็จ ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆได้อย่างไร

“...เป็นการช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการใส่ใจในการนำนวัตกรรมมาใช้มากขึ้น” ดร.อรรชกา ว่า

“นอกจากนี้ที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มที่สนใจแฟชั่นก็จะมีย่านแฟชั่นแบรนด์ไทย เป็นการรวบรวมร้านค้าแฟชั่นจาก 6 ย่านแฟชั่นชั้นนำ อาทิ ย่านสยาม จตุจักร สำเพ็ง เทอร์มินอล 21 แฟชั่นมุสลิม แฟชั่นปักธงชัย”

ข้างต้นเป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์ย่านแฟชั่นต่างๆที่รวมตัวเป็นคลัสเตอร์ขึ้นมา พร้อมๆกับยังเปิดเวทีสัมมนาเป็น 100 หัวข้อที่จะให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ มีเวิร์กช็อปสอนอาชีพด้านต่างๆด้วย รวมถึงคลินิกอุตสาหกรรม...มุมที่ปรึกษาด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ

เรียกว่า สำหรับผู้ประกอบการที่มาร่วมงานจะได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งแรงบันดาลใจที่จะไปทำธุรกิจได้ พัฒนาต่อยอดตัวเองได้เป็นอย่างดี

“มหกรรมซื้อของไทย ใช้ของดี” จัดระหว่าง 22-27 กันยายน 2558 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ถือเป็นงานแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยและผู้ประกอบการไทย

ดร.อรรชกา บอกว่า สถานการณ์เอสเอ็มอีวันนี้ต้องบอกว่าอยู่ในสภาวะที่คละเคล้ากันไป ไม่ใช่ว่าทุกรายจะแย่ไปหมด หลายๆรายก็ยังขยายตัว ขายสินค้าได้เป็นอย่างดี

อย่างกลุ่มเอสเอ็มอีที่เพิ่งเข้ามาพูดคุยกัน “กลุ่มผลิตผ้าไหมปักธงชัย” ก็มาร่วมงานครั้งนี้ ค่อนข้างมีความเข้มแข็งพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง สามารถออกงาน แสดงศักยภาพได้ดี...ขายสินค้าไปญี่ปุ่น จีน และที่น่าสนใจวันนี้มียอดสั่งซื้อจากหลายประเทศเพื่อนบ้าน พม่า ลาว กัมพูชา สั่งผ้าไหมจากปักธงชัยเป็นรายหมู่บ้านๆไปเลย

“ความต้องการแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน...แต่เรากลายเป็นศูนย์กลางการผลิตผ้าไหมส่งไปประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี”

ฉะนั้น สะท้อนให้เห็นว่ายังมีคำสั่งซื้อเข้ามา เอสเอ็มอียังขายได้อยู่ ยังมีตลาด อาจจะมีบ้างบางรายที่ผลิตสินค้าที่ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด บวกกับราคาที่อาจจะแข่งขันไม่ได้ รวมถึงเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ

ภาพรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล มีด้วยกัน 2 ด้านหลักๆ คือ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรผ่านกลไกของกองทุนหมู่บ้าน และมาตรการกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจผ่านการใช้เงินงบประมาณของภาครัฐ

หลังจากนี้รัฐบาลจะมีมาตรการเฟส 2 ตามออกมา ซึ่งจะเน้นไปที่การกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยหรือเอสเอ็มอี รวมถึงการกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะรวมกลุ่มเป็นคลัสเตอร์ ควบคู่ไปกับการผลักดันการส่งออกของประเทศ

“โดยท่านนายกฯ ได้มอบหมายให้ 7 กระทรวงหลักทางเศรษฐกิจ หามาตรการในการช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี และอยากเห็นเอสเอ็มอีนำนวัตกรรมมาใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น...หลังจากนั้นเข้าเฟสที่ 3 จะเป็นการเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศ เพื่อดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา”

ลงลึกในรายละเอียด กระทรวงอุตสาหกรรมจะร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) นำเสนอแพ็กเกจในการช่วยเหลือ เพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ด้วยมาตรการด้านการเงิน การคลัง การเพิ่มรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน

ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรม เน้นในเรื่องการพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม โดยได้เข้าไปช่วยเหลือ ในเรื่องของการใช้นวัตกรรมเข้าไปช่วยลดต้นทุนในการผลิต

การนำเรื่อง R&D...การวิจัยและพัฒนา เข้าไปช่วยพัฒนาและเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้มีความน่าสนใจ เพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ตลอดจนการนำระบบไอที ซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต นับรวมไปถึงเรื่องโลจิสติกส์ สต๊อกสินค้า สต๊อกวัตถุดิบ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตได้มาก

“ธุรกิจเอสเอ็มอี 2 ล้านกว่ารายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศที่มองข้ามไม่ได้ ถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วประเทศ”

ในภาคอุตสาหกรรมการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆมีหลากหลายมาก ต้องมาดูในงาน เช่น เครื่องอบทำผงแห้งแบบพ่นฝอย, ชาสมุนไพร, ชีวาดี/ น้ำหวานดอกมะพร้าว, ลวดจัดฟันชนิดไทเทเนียมผสม, เครื่องปรับปรุงคุณภาพเลือดด้วยคลื่นวิทยุความถี่ต่ำสำหรับการบำบัดเบื้องต้นแบบไม่สัมผัส, เครื่องวิเคราะห์ฝ่าเท้าด้วยเทคโนโลยีแสง, หมวกให้ออกซิเจนประเภทครอบศีรษะ, เครื่องเขียนลายเทียนอัตโนมัติผ้าบาติก ฯลฯ

“ถ้าไปดูแล้วจะเห็นว่า ณ วันนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเองก็ใส่ใจในเรื่องของการเอางานวิจัยมาใช้มากขึ้น แต่ก็อยากเห็นผู้ประกอบการพัฒนาต่อยอดมากขึ้นไปกว่านี้อีกเช่นกัน”

ประเทศไทยข่าวก่อนหน้านี้มีโรงงานย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คำถามมีว่า...แรงงานภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัว อย่างไร ท่ามกลางความไม่แน่นอนอย่างนี้?

ดร.อรรชกา มองว่า ต้องยอมรับว่า “ค่าแรง”...300 บาทต่อวัน สำหรับบางอุตสาหกรรมเรียกว่าแข่งขันกับโรงงานประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ ซึ่งมีค่าแรงถูกกว่า แต่ในบางอุตสาหกรรมค่าแรงแพงก็ยังอยู่ได้เพราะมูลค่าผลิตภัณฑ์ไม่เหมือนกัน...ถ้าจะไปแข่งในสินค้าที่ต้นทุนต่ำ มูลค่าเพิ่มต่ำก็ไม่ไหว

“บางรายทดแทนด้วยการนำเอาเครื่องจักรมาใช้มากขึ้น ผลิตได้มากขึ้น ใช้แรงงานน้อยลง...ต้นทุนลดลง ไม่อย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนไปผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ขายได้ราคาแพงขึ้นถึงจะสู้ราคาได้”

เรายังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวอีกนานแค่ไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ อาทิ ราคาน้ำมันซึ่งผันผวนเร็วและส่งผลกระทบไปทั่วโลก สำหรับผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องใช้ความอดทน และขวนขวายหาช่องทางทำธุรกิจใหม่ ตลาดใหม่...ภาคแรงงานเองก็ต้องพัฒนาฝีมือ ในอนาคตผู้ประกอบการหันมาใช้เครื่องจักรมากขึ้น หรือมีกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ฝีมือแรงงานสูงขึ้น แรงงานก็ต้องพัฒนาเพิ่มศักยภาพตนเองด้วย แล้วจะไม่เสียโอกาส

หวังว่า “มหกรรมซื้อของไทย ใช้ของดี” คงจะเป็นหนึ่งในอีกงานดีๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจ...ไอเดียใหม่ๆให้กับใครอีกหลายคน... เดินหน้าไปสู่โอกาสใหม่ๆได้ไม่มากก็น้อย.

ที่มาของข่าว: ไทยรัฐออนไลน์

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.