"ประสาร" คาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลน่าจะเห็นผลปีหน้า แนะรัฐใช้นโยบายเชิงรุกเน้นด้าน ศก. มั่นใจเฟดขึ้นดอกเบี้ยไม่กระทบเงินทุนไหลออก
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ภาครัฐจะต้องเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านต่าง ๆ โดยเห็นว่า ต้องเริ่มต้นด้วยการทำงานของรัฐวิสาหกิจ เพราะที่ผ่านมาการทำงานของรัฐวิสหกิจมีปัญหาค่อนข้างมาก ทั้งถูกแทรกแซงจากการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ประสบปัญหาขาดทุน และคุณภาพสินค้า หรือบริการที่ไม่ได้รับการยอมรับ ดังนั้น การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ จึงเป็นสิงที่จำเป็น เร่งด่วน และจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรเชิงลึกของระบบเศรษฐกิจไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าได้
สำหรับนโยบายเชิงรุกที่เหมาะสมนั้น ต้องเน้นที่โครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น รับมือการส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตน้อยลง แต่การก้าวเข้าไปสู่บรรทัดฐานใหม่ที่ดีกว่านั้น หากเน้นแต่การปฏิรูปภาคการส่งออก ก็ถือว่าตีโจทย์ไม่แตก เพราะเศรษฐกิจที่ชะลอลงนั้น เป็นผลมาจากทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย ซึ่งไทยต้องปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงการทำกรอบดำเนินนโยบายการเงิน ดูแลเสถียรภาพระบบการเงินที่ยืดหยุ่น เพื่อลดความผันผวนจากระบบการเงินไปยังภาคเศรษฐกิจ
"การวางนโยบายเชิงรุก เพื่อเป็นพื้นฐานที่ดี สำหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงต่อไป ดังนั้น ประสิทธิภาพของภาครัฐ เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการกำหนดขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะบทบาทในการวางกรอบและรักษากฎ กติกา ที่เป็นขอบเขตและแรงจูงใจสำหรับภาคเอกชนในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ”
ด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น น่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจได้ชัดเจนปีหน้า เพราะต้องใช้เวลาในการส่งผ่าน โดยเฉพาะการส่งผ่านสินเชื่อไปยังเอสเอ็มอี ส่วนจะมีผลบวกต่อจีดีพีมากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตาม
กรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยนั้น ธปท.มองว่า ถ้าขึ้นดอกเบี้ย ก็มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงจำกัด และไม่น่าเป็นห่วงว่าจะมีปัญหาเงินทุนไหลออกแต่อย่างใด เพราะนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น มีสัดส่วน 30% ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระยะยาว จึงไม่ห่วงว่าจะมีการเคลื่อนย้านเงินทุนในระยะสั้นแต่อย่างใด ประกอบกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในระดับที่ดี มีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่า 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่มีหนี้ต่างประเทศรวมกัน 1.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ยนโยบายเท่าเดิม ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น เชื่อว่าเพราะไม่ต้องการเพิ่มปัจจัยความไม่แน่นอนเข้าไปในตลาดเงินมากขึ้น ในช่วงที่ตลาดการเงินมีปัจยัยไม่แน่นอน ซึ่งทำให้การดำเนินนโยบายทางการเงินต้องคำถึงถึงความมีเถสียรภาพเป็นสำคัญ
“ธปท.เห็นว่าดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน อยู่ในระดับที่สามารถประคองเศรษฐกิจไว้ได้ค่อนข้างดี ซึ่งโดยรวมแล้ว ถือว่าอัตราแลกเปลี่ยนของไทย เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค และหากเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนา จะพบว่าการเปลี่ยนแปลงค่าเงินของไทย ถือว่ามีเสถียรภาพค่อนข้างดีและมีความผันผวนน้อยกว่า”