
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ ที่กระทรวงการคลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเชิญตัวแทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจมารับฟังปัญหาของภาคเอกชน ที่มีข้อติดขัดกับการประกอบธุรกิจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับแนวทางยกระดับประเทศไทยเป็นประเทศที่ง่ายต่อการทำธุรกิจ (Business easing) ซึ่งที่ผ่านมาไทยถูก 3 หน่วยงานคือ ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์, สถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD) และเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม (WEF)ลดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น ยังมีองค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ที่ดูเฉพาะดัชนีวัดความโปร่งใสในการทำธุรกิจ ซึ่งหากประเทศไทยปรับปรุงดัชนีชี้วัดต่างๆตามที่ 4 สถาบันได้สำรวจและจัดลำดับออกมาให้ดีขึ้น เชื่อว่าจากนี้ประเทศไทยจะมีความน่าสนใจในการลงทุนมากที่สุด เพราะเป็นประเทศที่มีความหวัง มีอนาคต ไม่มีความเสี่ยงทางการเมือง ไม่มีความวุ่นวายและมีความโปร่งใส ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นักธุรกิจต้องการ
“ชิ้นงานแรกที่สำคัญคือการทำอย่างไรเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ด้วยการทำให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจในการทำธุรกิจ ซึ่งต้องปรับปรุงตัวชี้วัดต่างๆจากวันที่จดทะเบียนทำธุรกิจจนถึงตอนประกอบกิจกรรม มีหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบ มีปัญหา จุดบกพร่องอะไรบ้าง มีประเทศใดที่เป็นอันดับ 1 ของโลก ก่อนจะบี้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปแก้ไข ถ้าแก้ไขได้หมด คงช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ว่า จากนี้ไปไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลเพิ่งมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะติดตามด้วยว่าภายใต้ พ.ร.บ.นี้ ยังมีสิ่งใดต้องปรับปรุงบ้าง โดยจากการเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย พบว่าประเทศไทยมีประเด็นต้องปรับปรุงทุกขั้นตอน และมีหน่วยราชการหลายแห่งเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ การขยายธุรกิจ การดำเนินธุรกิจ การเลิกธุรกิจ และการเริ่มต้นธุรกิจ ประเทศไทยต้องใช้เวลา 27.5 วัน ขณะที่สิงคโปร์ใช้เวลา 2.5 วัน