
เศรษฐกิจไทยในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นหลายประการ ตั้งแต่เรื่องผลกระทบของเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเมือง เหตุการณ์ที่ราชประสงค์ รวมถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่อันมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจ เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งท่านรองนายกฯ ก็ได้แถลงนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทันที โดยมีการกระตุ้นสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการ SMEs เป็นแกนหลัก ทั้งเรื่องการเข้าถึงเงินทุนและการเพิ่มศักยภาพ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับผู้ประกอบการทุกท่านครับ
ในช่วงนี้นอกจากเรื่องเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ต้องยอมรับว่าสถานการณ์โดยรวม ผู้ประกอบการ SMEs นั้นถูกกดดันถึงที่สุดแล้ว สังเกตได้จากการปิดตัวลงของโรงงานหลายแห่ง ป้าย billboard โฆษณาในทำเลสวยเริ่มว่างลงไม่มีคนเช่า และหลายๆ ร้านที่เคยเปิดทำการเริ่มปิดตัวลง เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสไปเดินถนนย่านทองหล่อก็ได้เห็นร้านอาหารร้านกาแฟที่คุ้นเคยได้ปิดตัวลง รวมถึงร้านที่เปิดอยู่ก็มีคนนั่งบางตาไปมาก
ช่วงนี้ถ้าผมได้มีโอกาสไปบรรยายพูดคุยให้ความรู้ที่ไหน คำถามยอดนิยมที่ถูกยิงเข้ามาจึงเป็นคำถามที่ว่า
“แล้วในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ควรทำธุรกิจอะไรดี?”
เป็นคำถามที่ทั้งตอบง่ายและยากครับ อย่างแรกคงต้องถามก่อนว่าในตอนนี้คุณทำอาชีพอะไรอยู่ และคำถามที่สองคือในเวลานี้เศรษฐกิจไทยไม่ดีจริงหรือ? เพราะผมได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนผู้ประกอบการบางคนที่บอกว่าเขาไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจไม่ดี เพราะในเวลาที่ทุกคนบ่นกัน เขากลับบอกว่าช่วงนี้เขา “ขายดีมาก” และก็ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในธุรกิจที่ไม่มีคู่แข่ง แต่เป็นเพราะเขาทำได้ดีกว่าคู่แข่ง คำถามที่ย้อนกลับมาจึงเป็นว่าที่เราพูดกันว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีนั้น มันเป็นแค่เศรษฐกิจ “ของคุณ”รึเปล่าที่ไม่ดี?
ดังนั้นในความคิดของผมในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ธุรกิจที่ดีก็คือ อะไรที่คุณทำอยู่แล้วและชำนาญนั่นแหละครับ
ถ้าคุณทำธุรกิจอยู่แล้ว ผมขอแนะนำให้คุณลองใช้เวลาช่วงขาลงนี้พิจารณาดูแต่ละห่วงโซ่ของธุรกิจให้ดี ตรงไหนบ้างที่เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ตรงไหนบ้างที่ลดค่าใช้จ่ายได้ และที่สำคัญไม่ควรลดงบการตลาดลง เพราะในขณะที่คู่แข่งของคุณกำลังย่ำแย่และยุติการทำการตลาด สื่อที่คุณใช้จะได้ผลมากขึ้นเพราะไม่มีใครมาตะโกนแข่งกับคุณ ที่สำคัญคือถ้าสินค้าหรือบริการของคุณนั้นไม่ได้ถูกจัดอยู่ในประเภทของฟุ่มเฟือย ผมเชื่อว่าความต้องการของลูกค้าก็ยังคงอยู่ เพียงแต่พฤติกรรมการซื้ออาจมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ต้องการสินค้าที่มีขนาดเล็กลง หรือต้องการชะลอการซื้อเนื่องจากต้องการเครดิตในการชำระเงินที่นานขึ้น หรือต้องการสินค้าที่ราคาย่อมเยากว่า เจ้าของธุรกิจควรใช้เวลานี้พินิจไตร่ตรองให้ดี
คำถามเดียวกันสำหรับท่านที่ยังไม่ได้เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ผมแนะนำว่าถ้าจะเริ่มต้นควรเริ่มจากธุรกิจที่ตนชำนาญและมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน ที่สำคัญคือหลีกเลี่ยงสินค้าและบริการฟุ่มเฟือย รวมทั้งการลงทุนที่ต้องใช้เงินสดหนักๆ (ในอัตราส่วนเมื่อเปรียบเทียบกับเงินทุนสำรองที่เรามี) แต่อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นครับ อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น ในขณะที่ธุรกิจของคนอื่นซบเซา อาจเป็นโอกาสทองของคุณก็เป็นได้
ธีระ กนกกาญจนรัตน์
ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ธุรกิจและเทคโนโลยี เจ.เอ็ม.คาตาลิสท์
http://www.facebook.com/SMECompass