นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหา 3 ด้านพร้อมกัน ทั้งปัญหาเชิงวัฏจักร ปัญหาเชิงโครงสร้างและการขาดความเชื่อมั่น โดยปัญหาเชิงวัฏจักร เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่ำ เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว ส่วนปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ปัญหาที่สะสมมาจากไม่มีการลงทุนใหม่ๆ โดยตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง 10 กว่าปี ไทยไม่เคยลงทุนขนาดใหญ่ที่มีนัยสำคัญเลย “ปัญหาเชิงโครงสร้าง มีฝีหลายฝีที่มาแตกพร้อมกัน เช่น ปัญหาประมง ที่ไปนำแรงงานผิดกฎหมาย ค้ามนุษย์มาทำให้เกิดปัญหา ขณะที่การท่องเที่ยว เรามีนักท่องเที่ยวมาก กรมการบินพลเรือน (บพ.) ก็ออกใบอนุญาตสายการบินหลายสิบใบ แต่ไม่ไปตรวจก่อนว่ามีมาตรฐานหรือไม่ ทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีการตรวจสอบของหน่วยงานนานาชาติ เป็นการสะท้อนความอ่อนแอของหน่วยงานราชการ”

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาเศรษฐกิจที่เจอผสมกันทั้ง 2 แบบแล้ว ยังมีปัญหาด้านจิตวิทยาที่ความเชื่อมั่นถดถอย เพราะเศรษฐกิจยังชะลอตัวต่อเนื่อง คนทำมาค้าขายก็ขาดกำลังใจ เมื่อมีหลายปัญหาจะแก้ทั้งหมดพร้อมกันก็ไม่ไหว รัฐบาลต้องเลือกแก้บางส่วนก่อน ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ก็เลือกที่จะช่วยกลุ่มรากหญ้าก่อน เพราะถ้าเติมเงินให้เขามีกำลังซื้อ ก็จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่าเก็บออมไว้ ช่วยกระจายกำลังซื้อในวงกว้าง จากนั้นเพิ่มความช่วยเหลือไปยังภาคอื่นๆ เช่น กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม “การแก้ปัญหาต้องทำความเข้าใจในศักยภาพของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ก่อน เพื่อลดความคาดหวังที่มากเกินไป โดย ธปท.ได้ศึกษาปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจใหม่พบว่า ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเวลานี้ต่ำกว่า 5% เป็นฐานศักยภาพเดิม ดังนั้นถ้าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีที่จะให้กลับไปขยายตัว 5% ถ้าไม่สร้างให้เกิดการเร่งตัวจนเกินกำลัง เศรษฐกิจเราก็อาจเสียหายมากกว่าที่จะได้คืนมา”

ต่อข้อถามที่ว่า ศักยภาพเศรษฐกิจไทยขณะนี้โตได้ที่อัตราเท่าไร ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ถ้าไม่สามารถลงทุนใหม่ๆ หรือไม่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ได้ในเร็วๆนี้ ศักยภาพการโตของเศรษฐกิจไทยอาจอยู่ที่ 3% ซึ่งรัฐบาลก็เร่งปฏิรูปในระดับหนึ่ง แต่อย่างน้อยถ้าเราเข้าใจว่าจะโตสูงสุดได้ 3% หากรัฐบาลพยุงเศรษฐกิจให้โตต่อได้ แต่ต่ำกว่า 3% เล็กน้อย เราก็ยังพอทำใจได้ การฟื้นเศรษฐกิจก็มีกำลังใจ แต่ถ้าเรายังมองว่าต้องไปถึง 5% รัฐบาลทำอย่างไรความเชื่อมั่นก็ไม่เกิด เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวได้ยากขึ้น “การใช้นโยบายกระตุ้นที่ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ใช้เป็นเรื่องที่ทำได้ และรัฐบาลไม่ได้แจกเงินหว่านเงินไปตรง แต่เป็นการทำผ่านกลไก ผ่านกองทุนหมู่บ้าน ผ่านสถาบันการเงิน แต่หากจะให้ได้ผลดียิ่งขึ้น รัฐบาลควรทำโครงการที่จะนำเงินไปใช้ เช่น เอาไปผลิต ทำการค้า สร้างห่วงโซ่ของการใช้จ่ายให้เพิ่มมากขึ้น เป็นการใช้เงินที่มีคุณภาพและคุ้มค่ามากขึ้น ประสิทธิผลดีขึ้น”

แต่มาตรการระยะสั้นเหมือนให้ยาแก้ปวด ขณะที่การปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นการแก้โรคจริงๆที่เป็นอยู่ ต้องทำไปพร้อมๆ กัน อย่าละทิ้ง หากสามารถแสดงให้เห็นว่า เอาจริงในการปฏิรูปหรือทำให้เห็น จะได้รับความเชื่อมั่นกลับมา เช่น อินเดียมีปัญหาภายในค่อนข้างมาก แต่แสดงให้เห็นความตั้งใจในการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ผลคือ เงินทุนไหลเข้าไปในอินเดียสูงมาก เนื่องจากมีความเชื่อมั่น.