นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้หาทางช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ประสบความลำบากช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย หาหนทางช่วยให้เข้มแข็งได้ในอนาคต รวมทั้งการสร้างผู้ประกอบการใหม่ และเมื่อถามว่ามาตรการที่ลงไปจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้แค่ไหน นายสมคิดกล่าวว่า “ผมคิดว่ายังไงก็ดีกว่าที่ผ่านมา เพราะว่านายกรัฐมนตรี และคนทำงานมีความตั้งใจสูง จากที่ไม่ค่อยมีอะไรกลายเป็นสิ่งที่มีอะไรบ้างพอสมควรทีเดียว แต่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น ถ้าบ้านเมืองไม่อยู่ในภาวะอย่างนี้ผมเชื่อว่าหุ้นขึ้นไปแล้ว ซื้อไว้ก่อนนะ หุ้นขึ้นแล้วจะซื้อไม่ทัน ทุกคนมีสิทธิ์คาดหวัง ผมและคณะทำงานจะทำในสิ่งที่ควรจะทำและต้องทำ แต่ละคนก็อายุมากแล้วมาทำงานก็เพื่อจะทำบุญตอนแก่ การช่วยคนจนเป็นบุญมหาศาลที่ทุกคนจะต้องช่วยกัน”
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวเพิ่มว่า มาตรการที่ ครม.อนุมัติแบ่งเป็น 3 เรื่อง เรื่องแรก การให้เอสเอ็มอีกู้เงินได้ถูกกว่าตลาด โดยคิดดอกเบี้ยให้กู้ไม่เกิน 4% ต่อปี วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท ระยะเวลาไม่เกิน 7 ปี โดยธนาคารออมสินจะให้สถาบันการเงินในประเทศกู้แบบใครมาก่อนได้ก่อนเพื่อนำไปปล่อยต่อ และรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายที่ต้องชดเชยให้ธนาคารออมสินปีละ 2,800 ล้านบาท คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์ จะปล่อยเงินเข้าระบบได้ทันที
ส่วนมาตรการที่สอง ให้มีการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะเป็นผู้ค้ำประกันในวงเงินรวม 100,000 ล้านบาท ปรับเปลี่ยนจากเงื่อนไขเดิมการค้ำประกันในอัตราส่วน 70/30 โดยให้ธนาคารพาณิชย์รับส่วนที่สูญเสีย 30% ทั้งหมด เป็น บสย.จะช่วยรับภาระในส่วน 15% แรกก่อน อีก 15% ที่เหลือจะให้ธนาคารพาณิชย์รับภาระร่วมกับ บสย.ทำให้การค้ำประกันครั้งนี้จะเป็นภาระให้ธนาคารพาณิชย์ลดลง และเชื่อว่าต่อไปนี้จะเร่งปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีมากขึ้น จะห่วงเรื่องความเสี่ยงน้อยลง
ทั้งนี้ จะมีการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเพิ่มเติมด้วย เช่น ปีแรกค่าธรรมเนียมการค้ำประกันภาครัฐจะออกให้ทั้งหมดหรือ 0% ปีที่สองขึ้นมาอยู่ที่ 0.5% ปีที่สามคิดที่ 1.25% ปีที่ 4 คิดที่ 1.50% โดยค่าใช้จ่ายที่รัฐจะต้องใช้ในส่วนการค้ำประกันตลอดอายุโครงการ 14,250 ล้านบาท มาตรการที่สาม ตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยให้ธนาคารออมสิน กรุงไทย และเอสเอ็มอีแบงก์ร่วมธนาคารละ 2,000 ล้านบาท รวมเป็น 6,000 ล้าน บาท จะป้อนเงินไปช่วยเอสเอ็มอีให้มีสภาพคล่อง และกรณีทุนไม่เพียงพออาจจะให้กองทุนเข้าไปถือหุ้นบางส่วน
นอกจากนั้น ยังมีมาตรการด้านภาษี ปัจจุบันเอสเอ็มอีขนาดเล็กในปัจจุบันที่มีกำไร 0-300,000 บาท จะไม่ต้องเสียภาษี แต่หากมีกำไร 300,001 ขึ้นไป เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 15% และ 20% ซึ่งได้แก้ไขใหม่เป็นในระยะเวลา 3 ปี หรือ 2 รอบบัญชี เอสเอ็มอีจะได้รับลดหย่อนภาษีเหลือ 10% ส่วนเอสเอ็มอี ที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่ในสาขาที่คิดว่าเป็นประโยชน์แต่มีต้นทุนสูงมาก เช่น สาขาเทคโนโลยี สาขานวัตกรรมจะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ 5 ปี
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในครั้งนี้ ครม.ได้เห็นชอบงบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน 20,020 ล้านบาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องชดเชยให้ธนาคารออมสินอยู่ที่ 2,860 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้น ยังได้ชี้แจงถึงตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล ซึ่งจะจัดสรรงบประมาณให้ตำบลละ 5 ล้านบาทด้วยว่า เป็นการนับรวมกับวงเงินที่ได้รับการจัดสรรตามมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนจนฯของกระทรวงมหาดไทย โดยตำบลที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในโครงการอื่นเต็ม 5 ล้านบาทแล้วจะไม่ได้รับการจัดสรรตามมาตรการนี้ ส่วนที่รับจัดสรรยังไม่เต็ม 5 ล้านบาท จะได้รับการจัดสรรตามกรอบวงเงินที่เหลือ
ขณะที่นายสมศักดิ์ โชติรัตนศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ครม.วานนี้ (8 ก.ย.) ได้อนุมัติเพิ่มวงเงินตามมาตรการดังกล่าว เพิ่มขึ้นอีก 1,638 ล้านบาท จากเดิมที่ได้อนุมัติไปแล้ว 36,275 ล้านบาท ทำให้จะมีงบประมาณจากโครงการนี้ลงไปสู่ตำบลทั้งสิ้น 37,913 ล้านบาท โดยล่าสุดสำนักงบประมาณพื้นที่รายงานว่า มีโครงการที่เสนอให้พิจารณาแล้ว 5,100 โครงการ และยังมีส่วนงบประมาณเพื่อการซ่อมแซมหรือโครงการลงทุนขนาดเล็กมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท รวม 40,000 ล้านบาท เมื่อรวม 2 โครงการคือตำบลละ 5 ล้านบาทกับโครงการซ่อมแซมขนาดเล็กไม่เกิน 1 ล้านบาท แล้วจะมีเงินลงทุนที่เข้าสู่ระบบภายใน ธ.ค.2558 นี้ 77,000 ล้านบาท.