รมว.อุตสาหกรรม ขานรับมาตรการช่วย SME เสนอ "สมคิด" ก่อนนำเข้า ครม. 8 ก.ย.นี้ คาด ใช้เงินไม่ต่ำกว่า 1.04 แสนล้าน ระบุเป็นมาตรการด้านการเงิน-สินเชื่อ-การเพิ่มรายได้ ขณะที่ ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมรถยนต์ รับผลกระทบมากสุด ..

นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึง แผนช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่จะนำเสนอ ต่อ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ก่อนเสนอต่อที่ประชุมครม. ในวันที่ 8 ก.ย.นี้ ว่า คาดจะใช้เงินไม่ต่ำกว่า 1.04 แสนล้านบาท แบ่งเป็นมาตรการด้านสินเชื่อและงบประมาณจากปี 59 ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูจากสถาบันการเงิน 1 แสนล้านบาท จากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ธนาคารออมสิน และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) รวมถึงสินเชื่อจากโครงการพลิกฟื้นเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหา 1,000 ล้านบาท ที่แปลงมาจากกองทุนตั้งตัวได้ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 1,000 ล้านบาท กองทุนสตาร์ตอัพนักรบใหม่ 1,500 ล้านบาท จากธนาคารออมสิน 500 ล้านบาท เอสเอ็มอีแบงก์ 500 ล้านบาท และกำลังได้รับจากธนาคารกรุงไทยอีก 500 ล้านบาท งบบูรณาการเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีประจำปี 59 อีก 1,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเอสเอ็มอี ที่ต้องการขยายตลาด เพิ่มกำลังผลิต และโครงการเพิ่มรายได้ โดยรัฐบาลจะเพิ่มช่องทางการตลาด อาทิ ปิดถนนสีลมเพื่อให้ เอสเอ็มอีสามารถนำสินค้ามาระบายแก่ผู้ซื้อโดยตรง
ขณะที่ นายพรชัย รัตนตรัยภพ ประธานเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า การสนับสนุนเอสเอ็มอีของรัฐบาลด้วยการให้เงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ควรแยกเป็นรายกลุ่มในส่วนเอสเอ็มอีที่มีความพร้อม กลุ่มที่ขาดความพร้อม และกลุ่มที่พร้อมจะส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อให้การสนับสนุนในลักษณะที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการสนับสนุนในกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีความพร้อม เห็นว่าจะช่วยให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น
“ตามปกติการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบรากหญ้าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะทำให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น ซึ่งการให้ความช่วยเหลือที่ผ่านมาก็จะมีบางกลุ่มที่เข้าถึงแหล่งสินเชื่อ ขณะที่บางกลุ่มเข้าไม่ถึงแหล่งสินเชื่อ ดังนั้น รัฐบาลควรจะเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ด้วยการแยกประเภทของกลุ่มเอสเอ็มอี แล้วให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสมในแต่ละกลุ่มในเวลาเดียวกัน”
สำหรับ สถานการณ์ของกลุ่มเอสเอ็มอีตลอดช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา นับว่ามียอดขายลดลง 30-40% ในทุกกิจการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่อุตสาหกรรมอาหารที่ไม่เคยมีผลกระทบในช่วงหลายปีที่ผ่ามา แต่ปีนี้พบว่ามียอดขายลดลงเช่นกัน.