นางอรรชกา สีบุญเรือง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า
การจัดทำแผนบูรณาการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่นายสมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมทำแผนช่วยเหลือเอสเอ็มอี
โดยระยะสั้นจะเน้นดูแลกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเก่าให้เข้มแข็ง
และสร้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใหม่ควบคู่กัน
โดย แผนช่วยเหลือเอสเอ็มอีจะแบ่งเป็น 2
ระยะ โดยระยะเร่งด่วนจะเป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง
ในการสนับสนุนด้านสินเชื่อและลดภาษี ซึ่งจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อน
หลังจากนั้นจะนำเสนอแผนพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ซึ่งจะต้องบูรณาการระหว่างหน่วยงานส่งเสริมเอสเอ็มอีทั้งหมด เช่น
กระทรวงอุตสาหกรรม, พาณิชย์, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และอื่นๆ
โดยโครงการที่จะช่วยเหลือเอสเอ็มอีทั้งหมดจะต้องเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็ว
เพื่อนำไปบรรจุไว้ในงบประมาณของปี 2559 ที่เริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค.นี้
นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ
(เอ็มโอยู) ระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
กับผู้ว่าราชการจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกิจการประเภทเอสเอ็มอี
ภายใต้กรอบความร่วมมือต่างๆ ดังนี้ 1.เสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านอุตสาหกรรมร่วมกัน
2.สนับสนุนเอสเอ็มอีของทั้ง 2 ประเทศสู่การเป็นสากล และ 3.ดำเนินกิจกรรมด้านต่างๆ
ร่วมกัน เช่น การเชื่อมคลัสเตอร์อุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีผู้ประกอบการจาก
จ.ชิบะ เข้ามาลงทุนในไทยแล้ว 21 ราย และมีการก่อสร้างโรงงานแล้ว 13 โรง
ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเครื่องจักร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและบริการ
และหลังจากนี้คาดว่าจะมีนักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50 ราย
นายเคนซาคุ โมริตะ
ผู้ว่าราชการจังหวัดชิบะ กล่าวว่า จ.ชิบะ ถือเป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น
มีมูลค่าผลผลิตด้านอุตสาหกรรมในปี 2555 สูงกว่า 12 ล้านล้านเยน ถือเป็นอันดับ 6
ของประเทศญี่ปุ่น มีศักยภาพด้านปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ เหล็กกล้า ชิ้นส่วนยานยนต์
และแปรรูปอาหาร โดยจะเข้ามาสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย
นอกจากนี้จะมีการเชิญชวนประชาสัมพันธ์ชาว
จ.ชิบะให้มาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มด้วย เพราะเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจของทั้ง 2
ประเทศ
ขณะที่ นายอาทิตย์ วุฒิคะโร
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
จะยังคงเน้นในการขยายความร่วมมือไปยังจังหวัด
และเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นต่อไป
แต่จะเน้นในเมืองที่มีจุดเด่นในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยาน อุตสาหกรรมเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
โดยหลังจากการลงนามในครั้งนี้จะทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงนามร่วมมือกับหน่วยงานจากประเทศญี่ปุ่นทั้งสิ้น
15 ราย แบ่งเป็น ระดับจังหวัดหรือเมือง 12 จังหวัด 2 หน่วยงาน และ 1
หน่วยงานรัฐบาลกลาง
ซึ่งที่ผ่านมากรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้มีโต๊ะญี่ปุ่นซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการดำเนินงานด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีให้มีศักยภาพมากขึ้น