สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

"สมคิด" คิด "พล.อ.ประยุทธ์" สั่ง : ช่วย SME 2.74 ล้านราย ครม. เตรียมอนุมัติเงินอีก 102,500 ลบ.
06/09/2015
ข่าวเศรษฐกิจ


วันที่ 3 ก.ย.2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้นรัฐบาลได้ให้ความสำคัญมาก เพราะเอสเอ็มอีคือผู้สร้างรายได้และการจ้างงานที่สำคัญ แต่ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 2.74 ล้านราย พบว่ากว่า 99.5% เป็นวิสาหกิจขนาดเล็ก ขณะที่วิสาหกิจขนาดกลาง มีเพียง 12,812 ราย หรือ 0.5% ที่เป็นกิจการที่มีศักยภาพต่อจีดีพี ดังนั้นการจะพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญต้องพัฒนาให้เอสเอ็มอีเติบโตจากขนาดเล็กเป็นขนาดกลาง ขนาดกลางเป็นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าที่ผ่านมาทุกฝ่ายรู้ว่าปัญหาของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่ตรงไหนจะต้องแก้อย่างไรแต่จะต้องจัดทำฐานข้อมูลพื้นฐานให้เรียบเพราะทุกเรื่องตอนนี้มาจากปัญหาข้อมูลพื้นฐานรวมถึงกรณีที่มีการขอเรื่องภาษีจากภาครัฐซึ่งถ้ามีการจัดฐานข้อมูลเรียบร้อย แล้วก็รับว่าจะดูให้ทั้งภาษีใหม่ภาษีเก่า

"ทุกวันนี้ผู้ที่มีรายได้มากกลับเสียภาษีน้อย ส่วนผู้ที่มีรายได้น้อยก็ไม่อยากเสียภาษี มีการตกแต่งบัญชีโดยใช้บริษัทมารับทำบัญชีให้ ส่วนนี้จะต้องไปตรวจสอบให้ชัดเจน สำหรับการเสียภาษีของเอสเอ็มอีที่เป็นปัญหาอยู่ยังไม่ได้หารือกันในเรื่องนี้ เพราะติดปัญหาที่ยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอีได้ครบถ้วน ซึ่งถ้าเริ่มจากสิ่งที่ผิดก็จะผิดไปตลอด จะเก็บภาษีได้ไม่ทั่วถึงเพราะยังมีปัญหาเรื่องข้อมูลกันอยู่" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อมีการขึ้นทะเบียนจัดฐานข้อมูลชัดแล้ว จะยังมีการนำมาจัดกลุ่มเพื่อพัฒนาศักยภาพในแต่ละกลุ่มให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนเอสเอ็มอีมาโดยตลอดแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เกิดใหม่ กลุ่มที่เติบโตสามารถขยายกิจการในประเทศได้ กลุ่มที่สามารถส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ และกลุ่มที่เลิกกิจการแต่ยังมีศักยภาพทางธุรกิจทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาให้เข้มแข็ง ไม่ใช่เป็นเถ้าแก่ 2 วัน วันที่ 3 กิจการล้ม เพราะไม่มีความพร้อม

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าในวันอังคารที่ 8 กันยายน 2558 จะนำเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีระยะเร่งด่วนให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาและอนุมัติ

ด้านนางอรรชกาสีบุญเรืองรมว.อุตสาหกรรมเปิดเผยว่า วันที่ 4 ก.ย. เตรียมหารือมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ร่วมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้วงเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 102,500 ล้านบาท ผ่าน 3 โครงการ คือ โครงการสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูจากสถาบันการเงินทั่วไป 100,000 ล้านบาท, โครงการสตาร์อัพ นักรบใหม่เอสเอ็มอี ผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และธนาคารกรุงไทย รวม 1,500 ล้านบาท และโครงการกองทุนพลิกฟื้นเอสเอ็มอี ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน 1,000 ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จะขอที่ประชุม ครม. โยกงบ 1,000 ล้านบาท จากโครงการกองทุนตั้งตัวได้ ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มาใช้ในกองทุนพลิกฟื้นเอสเอ็มอีฯ โดยจะร่วมกับ สสว. ในการเลือกผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีปัญหาทางการเงินไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เช่น ติดเครดิตบูโร ซึ่งส่วนนี้จะเป็นส่วนที่หนักที่สุด เบื้องต้นจะช่วยเหลือประมาณ 1,000 รายก่อน จากผู้ประกอบการ 10,000 ราย เช่น ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปวิเคราะปัญหา แก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ส่วนภาพรวมมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นแพ็กเกจที่ชัดเจนจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอให้นายสมคิดพิจารณาอีกครั้ง

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ยังมองว่ารัฐบาลควรมีมาตรการนิรโทษกรรมไม่ตรวจสอบภาษีย้อนหลังสำหรับเอสเอ็มอีที่จะเข้าสู่ระบบการเสียภาษีและคิดอัตราภาษีแบบขั้นบันไดรายได้น้อยเสียน้อยรายได้มากเสียมากซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการและภาครัฐคือเอสเอ็มอีเข้ามาเสียภาษีแบบถูกต้องมีการทำบัญชีที่ได้มาตรฐานสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เพราะสถาบันการเงินเชื่อมั่นมากขึ้นส่วนภาครัฐเองแม้จำนวนผู้ประกอบการที่เสียภาษีอาจจะเท่าเดิมคือประมาณ 7 แสนรายแต่ภาษีที่เก็บได้จะมากขึ้น รวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะเพิ่มขึ้นด้วย

นางสาววิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว.ได้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม ในการจัดโครงการสุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด โดยเป็นการคัดเลือกผู้ประกอบการเป้าหมายจากทุกจังหวัดทั่วประเทศครอบคลุม 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เริ่มดำเนินธุรกิจ (Start Up) 77 ราย กลุ่มที่มีศักยภาพทางการตลาด (Rising Star) 77 ราย และกลุ่มที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว (Turn Around) 76 ราย รวม 230 รายให้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาศักยภาพ โดยการอบรมพัฒนาธุรกิจ วินิจฉัยสถานประกอบการเชิงลึกทุกมิติพร้อมทั้งพัฒนาปรับปรุงตามแผนงานที่กำหนด และส่งเสริมกิจกรรมด้านการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการถึงเดือน ก.พ. 2559

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.