สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

"บัณฑูร" อ่านตัวแปรเศรษฐกิจไทย โจทย์ยาก...ปัจจัยบวกไม่เหลือในโลก
04/09/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจไทยเวลานี้ "ติดหล่ม" ปมปัญหาจากภายในและภายนอกประเทศ ฉุดการเติบโตทั้งปีให้อยู่ในระดับน้อยนิด แถมมองไประยะข้างหน้าก็ยังไม่แน่ใจว่า "การใช้จ่ายภาครัฐ" จะเป็นเครื่องยนต์ติดเทอร์โบที่จะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจในระยะสั้น ๆ ได้หรือไม่ สร้างความตระหนกให้กับประชาชนและภาคเอกชนไม่น้อย


สัมภาษณ์พิเศษ "บัณฑูร ล่ำซำ" ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ทั้งยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ หรือ "ซูเปอร์บอร์ด" ที่จะมาวิพากษ์ทิศทางเศรษฐกิจไทย กับมุมมองนโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาล "ประยุทธ์ 3"

- มองภาพเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้าอย่างไร

ตอนต้นปีเราประเมินกันไว้ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ระดับ 4% ผ่านไปสักพัก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็ปรับลดทอนลงเหลือ 2.8% ทุกคนก็มองว่าต่ำเกินไป แถมเวลานี้ก็ยังปรับลดลงอีก เป็นประเภทซาดิสต์นิด ๆ ซึ่งตัวแปรสำคัญเศรษฐกิจไทยก็คือ การส่งออก เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกเยอะมาก เมื่อไหร่ที่การส่งออกตกต่ำ เศรษฐกิจไทยก็จะมีปัญหา

ขณะที่การบริโภคในประเทศก็หมดแรง โครงการกระตุ้นผ่านมาตรการต่าง ๆ ก็ทำกันจนหมดแล้ว ทั้งรถคันแรก บ้านหลังแรก จนหนี้ท่วมหัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่กำลังซื้อจะหยุดชะงัก ก็คงต้องรอจนกว่าผู้บริโภคจะใช้หนี้หมด และสามารถกอบกู้ความมั่งคั่งของตัวเองกลับขึ้นมาใหม่ จึงจะสามารถใช้จ่ายหรือกู้เงินได้อีกรอบ ส่วนกำลังซื้อของโลกก็หมดเรี่ยวแรงเช่นกัน

ถึงตอนนี้เศรษฐกิจก็คงจะเติบโตได้ราว ๆ 2.5-3% เท่านั้น ไม่ถึงกับตกขอบ ว่ากันว่าเป็นฐานการเติบโตใหม่ของไทย ซึ่งถ้าใช่ก็เป็นระดับที่ทำมาหากินได้ยากมาก แทบไม่พอจะกิน

- เศรษฐกิจโตต่ำก็กระทบกับสินเชื่อแบงก์

แน่นอนถ้าเศรษฐกิจเติบโตได้ต่ำ การเติบโตของสินเชื่อก็ย่อมมีขีดจำกัด ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เพราะถ้าปล่อยกู้เกินกว่าความเป็นจริง เกินของระบบเศรษฐกิจ ถ้าไม่มีฐานของเศรษฐกิจรองรับ ปั๊มเงินเข้าไปมาก ๆ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป และนำไปสู่ปัญหาฟองสบู่ได้ เหมือนความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เราไม่สามารถปล่อยกู้ตามอำเภอใจหรือเท่าไหร่ก็ได้ ทุกอย่างต้องดำเนินไปพร้อม ๆ กับการเติบโตของเศรษฐกิจ

ที่ผ่านมาสถา บันการเงินมีบทเรียนแล้ว เลยไม่มีใครปล่อยกู้จนเกินกว่าเหตุ ถ้าเศรษฐกิจเติบโต 2.5-3% สินเชื่อก็น่าจะเติบโตได้แค่ 5-6% ไม่น่าจะเกินไปกว่านี้มาก ขณะที่ปัญหาหนี้เสียก็ยังถือว่าเป็นปัญหาสำคัญของสถาบันการเงิน เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ยังไม่เอื้ออำนวยให้เป็นหนี้ดี ทุกอย่างมันแฟบหมด

- เห็นหน้าตา ครม.ใหม่แล้วคิดเห็นอย่างไร

คน ที่เข้ามาเป็น ครม.ใหม่ก็โอเค แต่โลกเรามีปัจจัยรุมเร้าเยอะ ไม่ใช่เราคนเดียวเป็นผู้กำหนด จีนทรุดทีหนึ่ง ทุกคนก็วูบกันหมด แต่รัฐบาลก็ต้องมีนโยบายใหม่ ๆ ออกมา ยังประเมินยาก เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกก็กำลังมีปัญหา

- กรณีรัฐบาลจะใช้ซอฟต์โลน (สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ) ช่วยเอสเอ็มอี

ก็ เป็นสิ่งที่ควรทำ ถ้าไม่ทำผู้ประกอบการก็ขาดใจตาย ตอนนี้อาการก็พะงาบ ๆ อยู่แล้ว ก็ต้องช่วยไปก่อน แต่ปัญหาที่ฉุดเศรษฐกิจจริง ๆ ตอนนี้ก็คือ ผลิตของแล้วขายไม่ได้ แต่ถ้าตอนนี้ไม่ใส่เงินเข้าไปก็แย่กันหมด ทำเพื่อไม่ให้เขาตายในวันนี้ ถึงจะไปตายในวันหน้าก็ต้องช่วยไว้ก่อน ถูกทางหรือเปล่าไม่รู้ อย่างน้อยช่วยให้ฟื้นก่อนเป็นการซื้อเวลาเพื่อคิดค้นหาทางสู้กันไป จะฟื้นเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากันอีกที ไม่เช่นนั้นคนปล่อยกู้ก็จะตายตามไปด้วย ซึ่งในระบบธนาคารเฉพาะกิจของไทยก็คือ ผู้เสียภาษีคนไทย

- คิดว่าใส่เงินแค่ไหนถึงจะเอาอยู่

ยิ่ง ใส่มาก ยิ่งเอาไม่อยู่เพราะเยอะเกินไป ต้องไปตายเอาดาบหน้าเพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นเร็วแค่ไหน แล้วอีกอย่างเอสเอ็มอีเหล่านั้นนำเงินสภาพคล่องไปพัฒนาอะไรที่มีความหมาย หรือเปล่า ไม่ใช่ให้เงินไปแล้วเอาไปกินไปใช้เฉย ๆ โดยไม่เกิดประโยชน์ สิ่งสำคัญก็คือต้องมีเงินเข้าไปในระบบ แต่ว่าสักเท่าไหร่ถึงจะดีเพื่อให้มีเชื้อแต่ไม่ใช่เททิ้ง แต่ไม่ควรมากเกินไปเพราะอาจจะยิ่งแย่

ตัวเลขที่ออกมาประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทก็ไม่ได้มาก น่าจะเพียงพอในการช่วยเหลือเบื้องต้น พอทำให้ชื่นใจได้บ้าง และหวังจะช่วยขยับเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะอีกด้านอย่าลืมว่าประเทศอื่น ๆ ก็แย่เหมือนเรา แต่อย่างน้อยรัฐบาลเปลี่ยนทีมแล้วก็ต้องลองกันสักตั้ง

- อย่างนี้เรียกว่าประชานิยมหรือเปล่า

อันนี้เรียกว่า "เทา" คำว่าประชานิยม เขาใช้ด่ากัน ถ้าฝ่ายตรงข้ามทำ เราก็เรียกว่าประชานิยม แต่ถ้าพวกเดียวกันแสดงว่า ฉลาด เป็นลิเกอย่างหนึ่งที่คนไทยเล่นกันทั้งประเทศ สิ่งสำคัญก็คือต้องมีเงินเข้าไปในระบบ แต่ว่าสักเท่าไหร่ถึงจะดี เพื่อให้มีเชื้อแต่ไม่ใช่เททิ้ง แต่ไม่ควรมากเกินไปเพราะอาจจะยิ่งแย่

ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามด้วยว่า เขานำสภาพคล่องนั้นไปพัฒนาอะไรที่มีความหมายหรือไม่ ไม่ใช่ให้ไปแล้วเอาไปใช้เฉย ๆ โดยไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งเรื่องนี้จะมองเป็นประชานิยมหรือไม่ ผมมองว่ามันเทา ๆ

- นโยบายการเงินจำเป็นต้องเข้ามาช่วยหรือไม่

นโยบาย การเงินมีลูกเล่นอยู่ขั้นหนึ่ง ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยก็ลดลงมาระดับหนึ่งแล้ว จะลดลงจนติดดินเลยก็คงไม่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นมากไปกว่านี้ เผลอ ๆ อาจกลายเป็นฟองสบู่ด้วยซ้ำ และตอนนี้เท่าที่ดู นโยบายการเงินก็พอมีเสถียรภาพอยู่บ้าง ไม่ได้อยู่ในระดับที่กีดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร คณะกรรมการนโยบายการเงินก็น่าจะมีเหตุมีผลของเขา เรื่องนี้ไม่ได้ตัดสินใจแค่คนใดคนหนึ่ง แต่สำคัญว่าต้องดูแลไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป

แต่ถ้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจทรุดหนักกว่านี้ เขาก็อาจตัดสินใจอีกแบบก็ได้ ไม่มีใครรู้ เพราะเศรษฐกิจตอนนี้ต้องอ่านกันเป็นรายวัน

- คำตอบของโจทย์เศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน

ตัวแปรสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทยคือการส่งออก อีกส่วนก็พึ่งการลงทุนภาครัฐ รัฐบาลก็ต้องเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้น ทั้งงบประมาณที่ติดตามท่อต่าง ๆ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ เพราะตอนนี้ทุกอย่างค่อนข้างช้า เพราะมัวแต่ห่วงเรื่องการตรวจสอบ

ส่วนที่จะมาพึ่งท่องเที่ยวตอนนี้เจอบึ้ม นักท่องเที่ยวก็หายแต่ตอนนี้เศรษฐกิจโลกมีปัญหา ไม่มีแรงซื้ออะไร ขณะที่สินค้าไทยก็ติดปัญหาต่าง ๆ ในการทำตลาด ทำให้โจทย์ปลดล็อกปัญหาการส่งออกเป็นเรื่องยากมาก ก็ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยก็คงต้องซึม ๆ ไปอีกระยะ ส่วนจะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าโลกขยับเร็วแค่ไหน เพราะตอนนี้ปัจจัยบวกแทบไม่เหลือในโลก

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.