เศรษฐกิจไทยเวลานี้ "ติดหล่ม" ปมปัญหาจากภายในและภายนอกประเทศ ฉุดการเติบโตทั้งปีให้อยู่ในระดับน้อยนิด แถมมองไประยะข้างหน้าก็ยังไม่แน่ใจว่า "การใช้จ่ายภาครัฐ" จะเป็นเครื่องยนต์ติดเทอร์โบที่จะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจในระยะสั้น ๆ ได้หรือไม่ สร้างความตระหนกให้กับประชาชนและภาคเอกชนไม่น้อย

สัมภาษณ์พิเศษ "บัณฑูร ล่ำซำ"
ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย
ทั้งยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ หรือ
"ซูเปอร์บอร์ด" ที่จะมาวิพากษ์ทิศทางเศรษฐกิจไทย กับมุมมองนโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาล
"ประยุทธ์ 3"
- มองภาพเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้าอย่างไร
ตอนต้นปีเราประเมินกันไว้ว่า
เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ระดับ 4% ผ่านไปสักพัก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็ปรับลดทอนลงเหลือ 2.8%
ทุกคนก็มองว่าต่ำเกินไป แถมเวลานี้ก็ยังปรับลดลงอีก เป็นประเภทซาดิสต์นิด ๆ
ซึ่งตัวแปรสำคัญเศรษฐกิจไทยก็คือ การส่งออก เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกเยอะมาก
เมื่อไหร่ที่การส่งออกตกต่ำ เศรษฐกิจไทยก็จะมีปัญหา
ขณะที่การบริโภคในประเทศก็หมดแรง
โครงการกระตุ้นผ่านมาตรการต่าง ๆ ก็ทำกันจนหมดแล้ว ทั้งรถคันแรก บ้านหลังแรก
จนหนี้ท่วมหัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่กำลังซื้อจะหยุดชะงัก
ก็คงต้องรอจนกว่าผู้บริโภคจะใช้หนี้หมด
และสามารถกอบกู้ความมั่งคั่งของตัวเองกลับขึ้นมาใหม่
จึงจะสามารถใช้จ่ายหรือกู้เงินได้อีกรอบ ส่วนกำลังซื้อของโลกก็หมดเรี่ยวแรงเช่นกัน
ถึงตอนนี้เศรษฐกิจก็คงจะเติบโตได้ราว ๆ
2.5-3% เท่านั้น ไม่ถึงกับตกขอบ ว่ากันว่าเป็นฐานการเติบโตใหม่ของไทย
ซึ่งถ้าใช่ก็เป็นระดับที่ทำมาหากินได้ยากมาก แทบไม่พอจะกิน
- เศรษฐกิจโตต่ำก็กระทบกับสินเชื่อแบงก์
แน่นอนถ้าเศรษฐกิจเติบโตได้ต่ำ
การเติบโตของสินเชื่อก็ย่อมมีขีดจำกัด ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
เพราะถ้าปล่อยกู้เกินกว่าความเป็นจริง เกินของระบบเศรษฐกิจ
ถ้าไม่มีฐานของเศรษฐกิจรองรับ ปั๊มเงินเข้าไปมาก ๆ
อาจส่งผลให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป และนำไปสู่ปัญหาฟองสบู่ได้
เหมือนความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เป็นเรื่องที่ต้องระวัง
เราไม่สามารถปล่อยกู้ตามอำเภอใจหรือเท่าไหร่ก็ได้ ทุกอย่างต้องดำเนินไปพร้อม ๆ
กับการเติบโตของเศรษฐกิจ
ที่ผ่านมาสถา บันการเงินมีบทเรียนแล้ว
เลยไม่มีใครปล่อยกู้จนเกินกว่าเหตุ ถ้าเศรษฐกิจเติบโต 2.5-3% สินเชื่อก็น่าจะเติบโตได้แค่ 5-6%
ไม่น่าจะเกินไปกว่านี้มาก ขณะที่ปัญหาหนี้เสียก็ยังถือว่าเป็นปัญหาสำคัญของสถาบันการเงิน
เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ยังไม่เอื้ออำนวยให้เป็นหนี้ดี ทุกอย่างมันแฟบหมด
- เห็นหน้าตา
ครม.ใหม่แล้วคิดเห็นอย่างไร
คน ที่เข้ามาเป็น ครม.ใหม่ก็โอเค
แต่โลกเรามีปัจจัยรุมเร้าเยอะ ไม่ใช่เราคนเดียวเป็นผู้กำหนด จีนทรุดทีหนึ่ง
ทุกคนก็วูบกันหมด แต่รัฐบาลก็ต้องมีนโยบายใหม่ ๆ ออกมา ยังประเมินยาก
เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกก็กำลังมีปัญหา
- กรณีรัฐบาลจะใช้ซอฟต์โลน
(สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ) ช่วยเอสเอ็มอี
ก็ เป็นสิ่งที่ควรทำ
ถ้าไม่ทำผู้ประกอบการก็ขาดใจตาย ตอนนี้อาการก็พะงาบ ๆ อยู่แล้ว ก็ต้องช่วยไปก่อน
แต่ปัญหาที่ฉุดเศรษฐกิจจริง ๆ ตอนนี้ก็คือ ผลิตของแล้วขายไม่ได้
แต่ถ้าตอนนี้ไม่ใส่เงินเข้าไปก็แย่กันหมด ทำเพื่อไม่ให้เขาตายในวันนี้
ถึงจะไปตายในวันหน้าก็ต้องช่วยไว้ก่อน ถูกทางหรือเปล่าไม่รู้
อย่างน้อยช่วยให้ฟื้นก่อนเป็นการซื้อเวลาเพื่อคิดค้นหาทางสู้กันไป จะฟื้นเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากันอีกที
ไม่เช่นนั้นคนปล่อยกู้ก็จะตายตามไปด้วย ซึ่งในระบบธนาคารเฉพาะกิจของไทยก็คือ
ผู้เสียภาษีคนไทย
- คิดว่าใส่เงินแค่ไหนถึงจะเอาอยู่
ยิ่ง ใส่มาก
ยิ่งเอาไม่อยู่เพราะเยอะเกินไป
ต้องไปตายเอาดาบหน้าเพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นเร็วแค่ไหน
แล้วอีกอย่างเอสเอ็มอีเหล่านั้นนำเงินสภาพคล่องไปพัฒนาอะไรที่มีความหมาย หรือเปล่า
ไม่ใช่ให้เงินไปแล้วเอาไปกินไปใช้เฉย ๆ โดยไม่เกิดประโยชน์
สิ่งสำคัญก็คือต้องมีเงินเข้าไปในระบบ
แต่ว่าสักเท่าไหร่ถึงจะดีเพื่อให้มีเชื้อแต่ไม่ใช่เททิ้ง แต่ไม่ควรมากเกินไปเพราะอาจจะยิ่งแย่
ตัวเลขที่ออกมาประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทก็ไม่ได้มาก น่าจะเพียงพอในการช่วยเหลือเบื้องต้น
พอทำให้ชื่นใจได้บ้าง และหวังจะช่วยขยับเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
เพราะอีกด้านอย่าลืมว่าประเทศอื่น ๆ ก็แย่เหมือนเรา
แต่อย่างน้อยรัฐบาลเปลี่ยนทีมแล้วก็ต้องลองกันสักตั้ง
- อย่างนี้เรียกว่าประชานิยมหรือเปล่า
อันนี้เรียกว่า "เทา"
คำว่าประชานิยม เขาใช้ด่ากัน ถ้าฝ่ายตรงข้ามทำ เราก็เรียกว่าประชานิยม
แต่ถ้าพวกเดียวกันแสดงว่า ฉลาด เป็นลิเกอย่างหนึ่งที่คนไทยเล่นกันทั้งประเทศ
สิ่งสำคัญก็คือต้องมีเงินเข้าไปในระบบ แต่ว่าสักเท่าไหร่ถึงจะดี
เพื่อให้มีเชื้อแต่ไม่ใช่เททิ้ง แต่ไม่ควรมากเกินไปเพราะอาจจะยิ่งแย่
ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามด้วยว่า
เขานำสภาพคล่องนั้นไปพัฒนาอะไรที่มีความหมายหรือไม่ ไม่ใช่ให้ไปแล้วเอาไปใช้เฉย ๆ
โดยไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งเรื่องนี้จะมองเป็นประชานิยมหรือไม่ ผมมองว่ามันเทา ๆ
- นโยบายการเงินจำเป็นต้องเข้ามาช่วยหรือไม่
นโยบาย การเงินมีลูกเล่นอยู่ขั้นหนึ่ง
ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยก็ลดลงมาระดับหนึ่งแล้ว
จะลดลงจนติดดินเลยก็คงไม่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นมากไปกว่านี้ เผลอ ๆ
อาจกลายเป็นฟองสบู่ด้วยซ้ำ และตอนนี้เท่าที่ดู นโยบายการเงินก็พอมีเสถียรภาพอยู่บ้าง
ไม่ได้อยู่ในระดับที่กีดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
คณะกรรมการนโยบายการเงินก็น่าจะมีเหตุมีผลของเขา
เรื่องนี้ไม่ได้ตัดสินใจแค่คนใดคนหนึ่ง
แต่สำคัญว่าต้องดูแลไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
แต่ถ้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจทรุดหนักกว่านี้ เขาก็อาจตัดสินใจอีกแบบก็ได้
ไม่มีใครรู้ เพราะเศรษฐกิจตอนนี้ต้องอ่านกันเป็นรายวัน
- คำตอบของโจทย์เศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน
ตัวแปรสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทยคือการส่งออก อีกส่วนก็พึ่งการลงทุนภาครัฐ
รัฐบาลก็ต้องเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้น ทั้งงบประมาณที่ติดตามท่อต่าง ๆ
โครงการลงทุนขนาดใหญ่ เพราะตอนนี้ทุกอย่างค่อนข้างช้า
เพราะมัวแต่ห่วงเรื่องการตรวจสอบ
ส่วนที่จะมาพึ่งท่องเที่ยวตอนนี้เจอบึ้ม
นักท่องเที่ยวก็หายแต่ตอนนี้เศรษฐกิจโลกมีปัญหา ไม่มีแรงซื้ออะไร
ขณะที่สินค้าไทยก็ติดปัญหาต่าง ๆ ในการทำตลาด
ทำให้โจทย์ปลดล็อกปัญหาการส่งออกเป็นเรื่องยากมาก
ก็ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยก็คงต้องซึม ๆ ไปอีกระยะ
ส่วนจะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าโลกขยับเร็วแค่ไหน
เพราะตอนนี้ปัจจัยบวกแทบไม่เหลือในโลก