นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีการใช้จ่ายมากขึ้น, มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐผ่านตำบลต่างๆทั่วประเทศ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดูแลรับผิดชอบ และมาตรการใช้จ่ายงบประมาณด้านการลงทุนในโครงการขนาดเล็ก เพื่อช่วยให้การเบิกจ่ายทำได้สะดวกขึ้น และส่งผลประโยชน์กับผู้ประกอบการขนาดเล็กในพื้นที่ ซึ่งรับงานมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยทั้ง 3 มาตรการคงเป็นการเสนอรายละเอียดกว้างๆก่อน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยคงให้ ครม.พิจารณาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว มีเม็ดเงินรวมประมาณ 136,000 ล้านบาท เป็นมาตรการช่วยพยุงเศรษฐกิจระยะ 3 เดือน ซึ่งดำเนินการได้ทันทีหลังจาก ครม. อนุมัติแล้ว ประกอบด้วย 1.การปล่อยสินเชื่อให้แก่กองทุนหมู่บ้านวงเงิน 60,000 ล้านบาท ผ่านธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 2.จัดสรรวงเงินงบประมาณแบบให้เปล่าตำบลละ 5 ล้านบาท จำนวนกว่า 7,000 ตำบล วงเงินรวม 36,000 ล้านบาท และ 3.จัดงบลงทุนให้ส่วนราชการที่เสนอโครงการลงทุนขนาดเล็กไม่เกิน 1 ล้านบาท วงเงินรวม 40,000 ล้านบาท
โดยกระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายว่า ทั้ง 3 โครงการ จะเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อให้มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจปีนี้ให้มีอัตราการเติบโตได้ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพื่อประสานกับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่จะเริ่มต้นในปีหน้า นอกจากนี้ นายอภิศักดิ์ ยังได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษามาตรการเพิ่มเติมกระตุ้นเศรษฐกิจระยะต่อไป โดยต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนจริง แม้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะขณะนี้ มีหลายโครงการที่ขอสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไว้ แต่ยังไม่ได้เริ่มลงทุน เพราะรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน จึงต้องจูงใจให้ลงทุนเร็วขึ้น
ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจเมื่อเวลา 07.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เป็นการรับประทานโจ๊กร่วมกัน เพื่อปรึกษาหารือกันแบบไม่เป็นทางการ เพื่อให้การทำงานร่วมกันเกิดประสิทธิภาพ โดยแจ้งให้ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ รมว.พาณิชย์ ดูแลราคาสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ซึ่งปาล์มน้ำมันมีการลักลอบนำเข้า จึงจะหารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ให้ช่วยตรวจสอบอย่างเข้มงวด
“ได้หารือกับ รมว.คลังว่า หลังจากมาตรการดูแลวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ออกมาแล้ว อยากให้ดูแลเรื่องการจูงใจให้นักลงทุนเร่งลงทุน ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังทำเป็นซีรีส์ออกมา ส่วนเรื่องเร่งด่วนที่นายกฯสั่งการมาให้รีบดูแล คือ ราคาสินค้าเกษตร และราคาสินค้า ซึ่งราคาน้ำมันลดแล้ว แต่สินค้ายังแพงอยู่ กระทรวงพาณิชย์ต้องตั้งทีมตรวจสอบ ขอให้ผู้ค้าร่วมมือด้วย”
ด้านนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า กระทรวงฯจะสนับสนุนด้านการบริหารจัดการน้ำ และด้านการค้าด้วย ซึ่งเป็นมิติใหม่ ที่จะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีให้มีผลิตผลที่สูงขึ้น สินค้าโอทอป จะมีมาตรฐานดีขึ้น ในด้านเกษตร จะช่วยตั้งแต่เรื่องพันธุ์พืชไปจนถึงการบริหารจัดการน้ำ ปุ๋ยอินทรีย์ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมใดจะทำให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ซึ่งใช้เทคโนโลยีทั้งสิ้น
ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้หารือถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอื่น เช่น การพัฒนาข้าว ที่หลายกระทรวงอยากทำโครงการข้าว ดังนั้น น่าจะร่วมกันดำเนินการให้ไปในทิศทางเดียวกันได้ โดยได้เสนอโครงการที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยลงไปถึงระดับตำบล ระดับหมู่บ้าน เช่น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในหมู่บ้าน โครงการเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะปุ๋ยอินทรีย์ โครงการแปรรูปสินค้าเกษตร ซึ่งเงินจะลงถึงมือเกษตรกร และเกิดประโยชน์ในภาพรวม
ส่วนนางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงฯต้องทำรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องคลัสเตอร์ 6-7 กลุ่ม ที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศ โดยจะหารือร่วมกับบีโอไอ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อกำหนดรายละเอียดการให้สิทธิประโยชน์ให้เสร็จโดยเร็ว ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจดิจิตอลยังคงเดินหน้าต่อ และเร่งให้งานออกมาเป็นรูปธรรม รวมทั้งผลักดันให้จริงจังในการเดินหน้าประมูล 4 จี.