ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีได้บรรยายพิเศษหัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจและทิศทางประเทศไทย” ให้กับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทยรับฟัง โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นายสมคิดเปิดตัวแนวคิดและนโยบายเศรษฐกิจกับภาคเอกชนหลังรับตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล
นายสมคิดกล่าวว่า นักธุรกิจที่มาฟังนโยบายกันมาก เพราะมีความกังวลในธุรกิจของตัวเอง หลังพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นด้านอุตสาหกรรมลดลงเป็นประวัติการณ์แทบทุกครั้ง แต่ในอนาคตต้องปรับขึ้นแน่นอน เพื่อลดความกังวลและให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน ตนจึงต้องมาชี้แจงนโยบายกับภาคเอกชน เพื่อจะบอกว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลที่เป็นมิตรกับธุรกิจ ต้องการช่วยธุรกิจ ผลักธุรกิจให้เป็นกำลังหลักเป็นแนวหน้าของการค้าขายกับโลกภายนอก
ไม่วิกฤติแต่ขาดพลัง
นายสมคิดกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่ใช่เกิดวิกฤติ แต่เป็นช่วงที่เศรษฐกิจขาดพลัง ขาดความมั่นใจ เป็นช่วงที่ส่อแววอ่อนแอที่ต้องเร่งแก้ไข เมื่อเทียบกับวิกฤติปี 40 ถือเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ยังมีผลกำไรดีมาก ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หน้าตาผ่องใสโหงวเฮ้งดีทุกคน แต่กังวลว่า ถ้าเศรษฐกิจของชาวนาชาวไร่ไม่ดี วันหนึ่ง ก็จะกัดกินถึงเศรษฐกิจข้างบนได้ ปัญหาวันนี้เกิดขึ้นมา เพราะราคาพืชผลเกษตรปีที่ผ่านมาตกต่ำ ทำให้อำนาจซื้อของเกษตรกรย่ำแย่ ซึ่งถือเป็นกำลังซื้อมหาศาลของประเทศ เมื่ออำนาจซื้อหายไป ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ก็ลำบาก ธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เอสเอ็มอีก็หาเงินทุนได้ยากขึ้น
“ภาวะเช่นนี้ทำให้ความมั่นใจเสื่อมถอย เอกชนชะลอลงทุน เพราะมองไม่ชัดว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ขณะที่อำนาจของชนชั้นกลางก็ไม่เกิดขึ้นเพราะมีข่าวไม่ค่อยดี ตลาดหุ้นราคาตก ดังนั้นอะไรที่ไม่จำเป็นก็จะเก็บเงินไว้ก่อน ภาวะเช่นนี้จะกินตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนชีพจรของคน จากเดิมเต้นจังหวะปกติก็จะแผ่วลงเรื่อยๆ เงินเฟ้อที่ลดลงจนติดลบไม่ได้มาจากราคาน้ำมันลงอย่างเดียว แต่มาจากความรู้สึกที่คนจีนเรียกว่า ซิมจั๋งบ่อลัก หรือใจคอชักไม่ดี เศรษฐกิจจึงเป็นอย่างที่เห็นคือ ชะลอตัว ซบเซา มีแต่ข่าวร้าย”
ภารกิจเร่งด่วนช่วยผู้มีรายได้น้อย
นายสมคิดกล่าวว่า ปัญหาหลักของประเทศคือ ความสามารถของประเทศถดถอยลง ทำให้อ่อนแอ เพราะพึ่งการส่งออกมากระตุ้นการโตของเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ถูกต้องที่พึ่งภายนอกอย่างเดียว วันหนึ่งก็จะทรุดต่ำลงเพราะไม่ได้พึ่งตัวเอง ช่วงเวลานี้ต้องเร่งแก้ปัญหาในสิ่งที่ต้องแก้ และสร้างสิ่งใหม่เพื่อวางรากฐานรองรับอนาคต วันนี้โอกาสมาถึงแล้ว ดังนั้นอย่าตื่นตกใจกังวลจนเกินเหตุ แต่ก็อย่าตั้งอยู่ในความประมาท เราไม่ได้มองว่าประเทศมีปัญหา การเมืองอาจมีปัญหาแต่กำลังก้าวไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น เศรษฐกิจมีปัญหาเพราะมีความไม่มั่นใจ
ทั้งนี้ นายกฯซึ่งได้ให้เร่งดำเนินการ 2 เรื่องคือ กอบกู้ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และเอสเอ็มอี ซึ่งนายกฯมีความกังวลมาก ที่คนรายได้น้อย เดือดร้อน เป็นหน้าที่ตนต้องผลักดันสิ่งเหล่านี้ออกมาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้ โดยจะใช้กลไกที่จะทำให้เงินถึงมือชาวบ้านเร็วที่สุด ช่วยให้เกิดการหมุนเวียนในระยะสั้น และจะสร้างท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง ส่วนงบฯ รายจ่ายรัฐบาล ได้เร่งจูงใจการใช้งบประมาณ โดยเฉพาะโครงการเล็กที่มีมูลค่าไม่มากให้หมุนออกไปเร็วที่สุด จากนั้น อีก 2 สัปดาห์จะมีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนให้เอสเอ็มอี
สร้างสมดุลเศรษฐกิจภายใน–นอก
สำหรับการวางรากฐานให้อนาคตประเทศ จะใช้เวลาที่มีอยู่ทำให้ได้คือ ขจัดอุปสรรคการลงทุนของภาคเอกชน ยกระดับความสามารถของเอสเอ็มอี และการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจภายนอกและเศรษฐกิจภายในให้มากขึ้น ต้องสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายใน เอาแนวเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นตัวนำร่อง เช่น สร้างการท่องเที่ยวระดับจังหวัด สร้างวิสาหกิจชุมชน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) ที่เลิกไปต้องเอากลับมา เพื่อให้เกิดความกระตือรือร้นในท้องถิ่นของชาวบ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องคิดวางแผนงานของจังหวัด สร้างแบรนด์ระดับจังหวัดขึ้นมา “ต่อไปจะเห็นนโยบายการคลังหรือมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในท้องถิ่นมากขึ้น รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมจะทำอย่างมีเป้าหมายว่าแกนกลางในการพัฒนาคือระดับท้องถิ่น”
และจะสร้างคลัสเตอร์ขึ้นมา โดยส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย 6-7 กลุ่ม เช่น กลุ่มแปรรูป ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไอที เศรษฐกิจดิจิตอล คาดรายละเอียดจะเสร็จใน 1 เดือนเสนอนายกฯได้ จากนั้นจะโรดโชว์เชิญชวนให้ต่างชาติมาลงทุน และจะขยายเขตมาบตาพุด ลาดกระบังเป็นซุปเปอร์ คลัสเตอร์ ขยายท่าเรือ ให้ใหญ่ขึ้นเพื่อตรึงให้นักลงทุนญี่ปุ่นไม่ย้ายฐานไปที่อื่น รวมทั้งจะสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ขึ้นมา และให้มีการพัฒนาการผลิต โดย ยกระดับการใช้เทคโนโลยี มีการผลิตที่เข้มแข็งขึ้น
เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
นายสมคิดกล่าวด้วยว่า นายกฯเร่งให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพราะจำเป็นมาก โครงการใดที่ประกาศเป็นนโยบายแล้ว ต้องออกมาโดยเร็ว เช่น โครงการรถไฟรางคู่ เพราะหากมีเส้นทางเชื่อมต่อ เหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก จะเกิดกิจกรรมเศรษฐกิจตามเส้นทางรถไฟ ความเจริญจะตามมา นายกฯต้องการให้เอกชนร่วมลงทุนกับภาครัฐทุกโครงการ และจะเปิดประมูลด้วยความโปร่งใส และจะปฏิรูปการเงินการคลัง พัฒนาตลาดทุนให้เติบโตเชื่อมโยงกับโลกได้ “นายกฯฝากบอกมาว่ามีความตั้งใจ จริงใจ การบริหารประเทศช่วงนี้ไม่ใช่ของง่าย ต้องอดทน และอย่าปล่อยให้เวลาสูญเสียไป มีอะไรที่รัฐบาลจะช่วยท่านได้ขอให้บอกมา ตามสโลแกน Our Home, Our Country, Stronger, Together บ้านของเรา ประเทศของเรา ต้องรวมพลังกันก้าวข้ามอุปสรรค สร้างชาติให้เข้มแข็งอย่ามัวอยู่กับความขัดแย้ง จุดนี้เป็นจุดพลิกผันของประเทศ ถ้าทำได้ดีจะไปได้ดีแน่นอน แต่ถ้าทำไม่ดีก็ไม่รู้จะเป็นยังไง ผมไม่รอดก็ไม่รู้พวกท่านจะรอดหรือเปล่า ขอให้ช่วยกัน” นายสมคิดทิ้งท้าย
เอกชนประสานเสียงตอบรับ
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธาน กกร.กล่าวหลังรับฟังนโยบายจากนายสมคิดว่า รัฐบาลมีทิศทางที่ชัดเจน แต่ความเชื่อมั่นของเอกชนยังไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว ต้องรอดูผลลัพธ์จากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ซึ่งต้องใช้เวลา 3-6 เดือน สิ่งที่ต้องการให้รัฐดำเนินการ คือ 1.เร่งแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ซึ่งการปฏิวัติทำให้การแก้กฎหมายทำได้เร็ว แต่ควรทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นจากเอกชนก่อน จึงเสนอร่างแก้ไขไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 2.ใช้จุดแข็งของไทย ที่มีภูมิประเทศเป็นจุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางอาเซียน ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาใช้ไทยเป็นศูนย์กลางตั้งโรงงานในพื้นที่ชายแดนและเชื่อมโยงคลัสเตอร์ ตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนที่ใช้แรงงานราคาต่ำในประเทศเพื่อนบ้านและนำมาประกอบที่ไทย
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า เชื่อว่าเอกชนมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและนโยบายรัฐมากขึ้น โดยเฉพาะการดูแลผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หากทำให้ 2 กลุ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นรวดเร็ว จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น เพราะปัญหาใหญ่เกิดจากทั้ง 2 กลุ่มไม่มีกำลังซื้อ ส่วนนโยบายที่ต้องการให้รัฐขับเคลื่อนคือ ปรับโครงสร้างภาษีเพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าระบบการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เพราะขณะนี้ผู้ประกอบการเสียภาษีถูกต้องเพียง 20% เท่านั้น ขณะที่อีก 80% ยังเสียไม่ถูกต้อง ส่งผลให้การผลักดันนโยบายการส่งเสริมเอสเอ็มอีไปไม่ทั่วถึง “ความเชื่อมั่นเอกชนดีขึ้นแน่ น่าจะได้เห็นดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมดีขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า จากที่ลดลงต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่ทีมเศรษฐกิจชุดที่แล้วไม่ดี แต่มองเศรษฐกิจภาพใหญ่มากเกินไป ไม่มองภาพเล็ก ทั้งที่ปัญหาใหญ่เกิดจากเศรษฐกิจภาพเล็ก”
ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เชื่อว่านโยบายจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการรวมกลุ่มคลัสเตอร์สินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่สิ่งที่เอกชนต้องการให้รัฐช่วยคือการปลดล็อกกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออก การขอใบอนุญาตดำเนินธุรกิจ เพื่อลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจได้คล่องตัวขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย นำเข้านวัตกรรมใหม่ๆจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิตเอสเอ็มอีและยกระดับแรงงานที่ใช้ทักษะฝีมือขั้นสูงให้มากขึ้น นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลมีแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบแบบบูรณาการ.