สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

"อภิศักดิ์" กางวิสัยทัศน์บริหารเศรษฐกิจ 3 ระยะ "เติมเงินรากหญ้า-กระตุ้นลงทุน"
28/08/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ขุนคลังโชว์วิสัยทัศน์ทางการครั้งแรก ลั่นเติมเงินรากหญ้า "เกษตรกร-คนเมือง" เล็งใช้กลไกกองทุนหมู่บ้านผันเงินสู่รากหญ้าใน 1 เดือน-ทำโครงการก่อสร้างขนาดเล็กสร้างงานให้รายย่อยเบิกจ่ายหมดใน 3-4 เดือน ขณะที่ระยะถัดไปกระตุ้นลงทุนเอกชนต่อ พร้อมจัดมาตรการจูงใจซื้อเครื่องจักร ลั่นไทยต้องสร้าง "S curve" ใหม่ดึงดูดต่างชาติมาลงทุน


นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษครั้งแรกในงานสัมมนาวิชาการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประจำปี 2558 "นวัตกรรมการคลังการเงินเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย" ว่า ประเทศไทยขณะนี้คนทั่วไปจะรู้สึกว่า ทำไมเศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายไม่ได้ ซึ่งเหตุผลอาจจะไม่สอดคล้องกับตัวเลขที่ปรากฏ ที่ทางการประกาศว่าครึ่งปีแรกเติบโต 2.5% ดีกว่าปีที่แล้วที่เติบโตแค่ 0.9%

"ถ้ามันดีกว่าปีที่แล้ว ทำไมคนจึงบ่นว่าขณะนี้มันแย่ สิ่งเหล่านี้ต้องมีคำตอบว่า เหตุเกิดจากอะไร และผลคืออะไร ถ้ามองคร่าว ๆ ปัจจัยที่ทำให้คนรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ก็คือ กลุ่มที่จะต้องใช้เงินในชีวิตประจำวัน มีรายได้น้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรากหญ้า เกษตรกรและกลุ่มที่อยู่ในเมือง" นายอภิศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของเกษตรกรมองว่า ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากของเกษตรกร เพราะปีก่อน ๆ จะมีรายได้จากการอุ้มชูของรัฐ แต่ปีนี้ไม่มีแถมยังต้องเผชิญกับภัยแล้ง ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ และราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ส่งผลให้รายได้ลดลง ส่วนกลุ่มรากหญ้าในเมือง ก็ประสบกำลังซื้อลดลง สะท้อนจากบริษัทต่าง ๆ ลดกำลังการผลิตลง หยุดทำโอ/ทีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นปลดคนงาน

"ผลก็คือ ทำให้คนรากหญ้าในเมือง ไม่มีโอ/ที ปกติคนเหล่านี้จะใช้เงินเดือนประจำเพื่อดำรงชีพ และใช้โอ/ทีเพื่อใช้จ่าย ทำให้ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าผ่อนรถ เป็นต้น หายไปด้วย พอพวกนี้หายไปก็จะเห็นเลยว่าสถาบันการเงิน NPL (หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้) โผล่ มันตามกันหมด สถาบันการเงินก็รู้สึกกลัว ก็ยิ่งบีบรัดเครดิต ไม่ปล่อยเครดิต ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจไม่โต อันนี้เป็นลูกโซ่ที่ตามกันมา" นายอภิศักดิ์กล่าว

รมว.คลัง กล่าวว่า แนวทางที่รัฐบาลคิดจะแก้ปัญหาในขณะนี้ โดยจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า คือ เรื่องแรก การจัดทำโครงการขนาดเล็กที่สามารถเบิกจ่ายได้เร็ว จัดซื้อจัดจ้างได้ง่าย เพื่อเร่งใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้รับงานเป็นรายเล็กรายน้อยทั่วประเทศ ไม่กระจุกตัวเหมือนโครงการขนาดใหญ่ที่จะมีผู้รับเหมารายใหญ่ 4-5 รายได้งานไป แล้วไปซับคอนแทร็กส์อีกที

"หลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนเกิดขึ้นเยอะแยะ แต่เราต้องยอมรับว่าการที่รัฐบาลเติมเงินลงไปขณะนี้ก็เป็นเรื่องถูกต้อง แต่เมื่อเติมลงไปแล้วต้องใช้เวลา ถามว่าช่องว่างตรงนี้ จะทำอย่างไร ผมก็บอกว่ารัฐบาลนี้จะต้องเติมเงินในช่วงสั้น ๆ ถ้าจะทำก็หลีกหนีไม่ได้ที่จะต้องทำโครงการเล็ก ในช่วงระหว่างที่โครงการขนาดใหญ่ยังไม่เกิด" รมว.คลังกล่าว


นายอภิศักดิ์กล่าวด้วยว่า โครงการลักษณะนี้เคยทำสมัยนายกรณ์ จาติกวณิช เป็น รมว.คลัง ช่วงเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งสมัยนั้นตนอยู่แบงก์พาณิชย์ ทำให้เห็นว่าได้ผล เพราะพอทำแล้ว NPL ลดลง เรื่องที่สอง จะเป็นการเติม ให้ประชาชนระดับรากหญ้าที่กำลังลำบาก ชักหน้าไม่ถึงหลัง โดยผ่านกลไกกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งจะไม่ใช่เงินแจก แต่เป็นเงินกู้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน โดยมองว่ากองทุนหมู่บ้านจะมีความเข้าใจดีว่า สมาชิกในหมู่บ้าน มีใครลำบากอยู่ แล้วควรจะให้ใครกู้บ้าง

"สิ่งเหล่านี้อาจจะเห็นในสัปดาห์หน้า ก็จะเป็นสิ่งที่เราจะไปเติมช่องว่าง ในส่วนที่ยังขาดอยู่ตอนนี้ เพื่อพยุงไม่ให้เศรษฐกิจเราลงลึกไปกว่านี้ เพราะถ้าเศรษฐกิจลงลึกไปมาก ทรัพยากรที่จะดึงเศรษฐกิจขึ้นมา จะยิ่งต้องใช้เยอะ เหมือนกับตอนที่เราเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งเราไม่อยากให้เกิด เราจะพยายามประคับประคองการเติบโต ไม่ให้ตกมาก จนเกิดปัญหา" รมว.คลังกล่าว

รมว.คลัง กล่าวอีกว่า หลังจากทำ 2 เรื่องแรกที่ดูแลรากหญ้าไปแล้ว หลังจะมีนโยบายกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนต่อ โดยจะมีมาตรการจูงใจอย่างเต็มที่ เพื่อให้เอกชนพึงพอใจ แล้วตัดสินใจลงทุนตั้งแต่ตอนนี้ อาทิ ลงทุนซื้อเครื่องจักร หรือ ก่อสร้าง เป็นต้น จากปกติที่บางรายได้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไปแล้วแต่ยังรอจังหวะอยู่

"เราพยายามเพิ่มตัว C (การบริโภค) ของกลุ่มที่กำลังลำบาก แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจ C ก็ยังจะไม่เกิด ก็ต้องดูตัว I (การลงทุนเอกชน) ซึ่งทุกคนบอกว่า ต้องให้รัฐบาลลงก่อน แล้วพอเศรษฐกิจดีค่อยลงตาม แต่คำถามคือ ถ้ารัฐสามารถให้แรงจูงใจเขาเป็นพิเศษ แล้วเขาคำนวณได้ว่าลงตอนนี้คุ้มกว่าไปลงในอนาคต เขาก็มีโอกาสคิดใหม่ แล้วมาลงทุนตอนนี้ได้" รมว.คลังกล่าว

นายอภิศักดิ์กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันนักลงทุนไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินทุน เพียงแต่เขาจะเลิกว่าจะไปลงที่ไหน ดังนั้น ประเทศไทยก็ต้องทำตัวให้รู้สึกว่า เป็นแหล่งที่นักลงทุนอยากมาลงทุน โดยจะต้องพยายามสร้าง S curve ใหม่ คิดใหม่สำหรับอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ จากที่เคยมีอีสเทิร์นซีบอร์ด และอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์เป็น S curve แต่ว่าใกล้จะหมดแล้ว

"บางคนบอกว่า ระบบรางจะเป็น S curve ใหม่ อาจจะทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางของโลจิสติกส์ จริงหรือเปล่า ต้องคุยกัน อันนี้เป็นโจทย์สำคัญที่ต้องดูในอนาคต" นายอภิศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่อยากจะผลักดันในระยะต่อไป อาทิ การให้บริษัทต่าง ๆในประเทศไทยมีระบบบัญชีเดียว มีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง และการนำระบบชำระเงินด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) มาใช้

ขณะที่ภายหลังการประชุมมอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงการคลังและผู้บริหารธนาคารเฉพาะกิจของรัฐในช่วงบ่ายนายอภิศักดิ์กล่าวว่าได้เน้นย้ำว่า การกระจายเงินสู่รากหญ้าจะต้องทำให้ได้เร็วที่สุด โดยกรณีกองทุนหมู่บ้านจะต้องลงสู่ระบบให้หมดใน 1 เดือน ส่วนโครงการขนาดเล็กที่จะเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐนั้น จะต้องเบิกจ่ายให้หมดใน 3-4 เดือน

"ทั้งหมดนี้ คือ แนวทางที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ให้ดีขึ้น ซึ่งคิดว่าเศรษฐกิจเราจะไม่ลงลึกไปกว่านี้แล้ว หลังจากที่ลงมาทุกเดือน ๆ และหวังว่านับจากนี้จะค่อย ๆ ดีขึ้น" นายอภิศักดิ์กล่าว

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.