ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะซบเซาอย่างหนักนับตั้งแต่ต้นปี 2557 ผ่านรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2558 จนเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของปีแล้ว แม้แต่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจที่เคยเอาแต่แถลง “ข่าวดี” ซ้ำๆว่าเศรษฐกิจไทยปี 2558 จะฟื้นตัวเติบโตดีในอัตราเท่านั้นเท่านี้
สุดท้ายก็จำต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เป็นตรงข้ามว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้คงเติบโตไม่ถึงร้อยละ
3

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความหวังในหมู่ภาครัฐและเอกชนว่า
เศรษฐกิจไทยจะถึง “จุดต่ำสุด” ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2558
แล้วจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีเป็นต้นไป
โดยเชื่อว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและประเทศที่เป็นแกนกลางสหภาพยุโรป
(อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี) จะช่วยให้การส่งออกไทยและเศรษฐกิจไทยไม่ตกต่ำเลวร้ายไปกว่าที่ผ่านมา
แต่ถ้าพิจารณาข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดถึงสิ้นเดือนมิถุนายน
2558 จะพบว่าดัชนีตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆของไทยที่ “ติดลบ”
เกือบทุกรายการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 นั้น
ยังไม่ส่อแนวโน้มว่าจะ “ชะลอการติดลบ” ให้น้อยลงจนอาจกลับมาเป็นบวกในไตรมาสที่
3 ได้แต่อย่างใด
ตัวเลขที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยก็คือ
มูลค่าการส่งออก ปรากฏว่าในไตรมาสที่ 2
ของปี 2558 การส่งออกกลับติดลบมากขึ้นคือ ลดลงร้อยละ 5.5 จากช่วงเดียวกันของปี 2557
ขณะที่ในไตรมาสแรกมีมูลค่าลดลงร้อยละ 4.3 และถ้าพิจารณาตัวเลขการส่งออกรายเดือนจะพบว่า
เดือนพฤษภาคม 2558 การส่งออกลดลงร้อยละ 5.5 พอถึงเดือนมิถุนายนกลับยิ่งลดลงเป็นร้อยละ 8.9
กระทั่งท้ายสุดกระทรวงพาณิชย์ถึงกับจำต้องยอมรับว่า
การส่งออกของไทยทั้งปี 2558 จะลดลงร้อยละ 3 ซึ่งน่าจะยังเป็นการ “มองโลกในแง่ดี” เกินไปด้วยซ้ำ เพราะใน 6 เดือนแรกของปี
การส่งออกก็ลดลงไปแล้วร้อยละ 4.8
ฉะนั้นถ้าจะให้การส่งออกทั้งปีลดลงเพียงร้อยละ 3 ตามที่คาด
ก็หมายความว่าการส่งออกในช่วง 6
เดือนหลังของปีต้องลดลงเพียงร้อยละ 1
ซึ่งดูจะเป็นไปได้ยากมาก
และหากพิจารณารายการสินค้าจะพบว่า
สินค้าที่ส่งออกลดลงอย่างมาก ได้แก่ สินค้าประมง เกษตรแปรรูป เสื้อผ้าสำเร็จรูป
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี และเคมี
ผลต่อเนื่องของการส่งออกที่ลดลงก็คือ
การใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้ลดต่ำลงไปด้วย จากที่คงอยู่ในระดับร้อยละ 60 มาตลอดช่วงปี 2557 ถึงไตรมาสแรกปี 2558 พอสิ้นไตรมาสที่ 2 กลับลดลงเหลือร้อยละ 55.5 โดยเป็นการลดลงมากที่สุดในอุตสาหกรรมอาหาร เสื้อผ้า ยานยนต์
ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ยางและพลาสติก
การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอลงทำให้มีการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางลดลงด้วย
โดยใน 6 เดือนแรกของปี 2558 ลดลงร้อยละ 13 ยิ่งกว่านั้นสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนักและการใช้กำลังการผลิตที่ลดต่ำลง
ทำให้ผู้ผลิตชะลอการลงทุนในเครื่องจักรใหม่
ดังจะเห็นได้ว่ามูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรในไตรมาสแรกลดลงเพียงร้อยละ 0.9 แต่ในไตรมาสที่ 2 กลับลดลงไปมากถึงร้อยละ 5.3
เศรษฐกิจภาคชนบทก็อยู่ในสภาพซบเซาอย่างหนักเช่นกัน
สาเหตุสำคัญคือ การตกต่ำของราคาพืชผลเกษตร และภาวะแห้งแล้งอย่างรุนแรงในปีการผลิต 2558 ข้อมูลแสดงว่ารายได้ภาคเกษตรในไตรมาสแรกลดลงร้อยละ 10.6 และไตรมาสที่ 2 ลดลงร้อยละ 14.2 ขณะที่การผลิตเกษตรไตรมาสแรกลดลงร้อยละ 3.7
และลดลงร้อยละ 8.9 ในไตรมาสที่ 2
นี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่กำลังการใช้จ่ายในภาคชนบทเข้าขั้น
“หยุดชะงัก” ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจชนบททั้งหมด
ทั้งยอดขายรถกระบะ รถจักรยานยนต์ สินค้าอุปโภคทุกชนิดในภูมิภาค
ระดับการใช้จ่ายบริโภคของประชาชนอยู่ในภาวะซบเซาเช่นกัน
ดัชนีการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 3.6
ในไตรมาสแรก และลดลงร้อยละ 11.3 ในไตรมาสที่ 2 ของปี
ที่ “น่าประหลาด” ก็คือ
ตัวเลขดุลงบประมาณของรัฐบาลซึ่งเคย “ขาดดุล” ไตรมาสละประมาณ 200,000-300,000 ล้านบาทมาตลอดปี 2557 ถึงไตรมาสแรกของปี 2558 (ซึ่งก็คือรัฐบาลใช้จ่ายมากกว่ารายได้เพื่อ
“กระตุ้นอัดฉีดเศรษฐกิจ”) กลับกลายมาเป็น
“เกินดุล” ในไตรมาสที่ 2 ราว 100,000 ล้านบาท เท่ากับว่าในไตรมาสที่ 2 รัฐบาลไม่ได้กระตุ้นอัดฉีดเศรษฐกิจ แต่กลับ “ดูดเม็ดเงิน”
ออกไปอีกด้วย
ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปที่ “ติดลบ” ทุกเดือนในไตรมาสแรกก็ยังคงติดลบต่อไปราวร้อยละ
1 ในไตรมาสที่ 2
แม้ว่ารัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงปฏิเสธอยู่ว่า “ไม่ใช่ภาวะเงินฝืด”
ตัวเลขที่ดูเหมือนว่าจะเป็นข่าวดีอย่างมากคือ
ตัวเลขนักท่องเที่ยวซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5
ในไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 ในไตรมาสที่ 2 โดยร้อยละ 19 ของนักท่องเที่ยวมาจากประเทศจีน
แต่มีข้อสังเกตว่านี่เป็นการเพิ่มจากฐานตัวเลขที่ต่ำมากของช่วงเดียวกันของปี 2557 ซึ่งเป็นช่วงความวุ่นวายทางการเมือง รัฐประหาร และกฎอัยการศึก
ยิ่งกว่านั้นยังมี “ข่าวร้าย” รอเวลาปะทุอีกในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 คือ
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะต้องตัดสินใจว่าจะมีมาตรการตัดความช่วยเหลือแก่รัฐบาลไทยหรือไม่จากการที่จัดอันดับประเทศไทยอยู่ในกลุ่ม
“เทียร์ 3” ของกลุ่มประเทศที่มีปัญหาค้ามนุษย์
หากรัฐบาลไทยถูกคว่ำบาตร ผลจะไม่ใช่เพียงการตัดเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
แต่สินค้าจากประเทศไทยที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาอาจจะถูกองค์กรพัฒนาเอกชนและผู้บริโภคของสหรัฐต่อต้านในข้อหา
“ค้ามนุษย์” อีกด้วย
กรณีสหภาพยุโรป “เตือน” (ให้ใบเหลือง)
ประเทศไทยกรณีประมงไม่มีการควบคุมและผิดกฎหมายมาตั้งแต่ 1
มกราคม 2558 โดยให้เวลาแก้ไขปัญหาถึงตุลาคม 2558 นั้น หากไม่สามารถแก้ไขได้
สินค้าประมงไทยที่ส่งออกไปสหภาพยุโรปมูลค่ากว่า 30,000
ล้านบาทต่อปีจะถูกห้ามทั้งหมด
สินค้าส่งออกไปสหภาพยุโรปเป็นกลุ่มที่ประสบปัญหามากที่สุด
เพราะสินค้าไทยนับพันรายการได้ถูกตัดสิทธิพิเศษอัตราภาษีศุลกากรต่ำ (จีเอสพี)
ไปแล้วตั้งแต่ 1 มกราคม 2558
แต่สหภาพยุโรปกลับเลื่อนการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (ที่จะมาแทนจีเอสพี)
กับรัฐบาลไทยออกไปไม่มีกำหนดจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
กรณีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
(ICAO)
ประกาศเตือน “ธงแดง” มาตรฐานความปลอดภัยของกรมการบินพลเรือนไทย
ตามมาด้วยการเตือนในลักษณะเดียวกันขององค์การการบินพลเรือนสหรัฐอเมริกา (FAA)
อีกทั้งองค์การการบินพลเรือนของสหภาพยุโรปก็มีแนวโน้มที่จะปฏิบัติเช่นเดียวกัน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ ธุรกิจเช่าบินเหมาลำที่ถูกห้ามเพิ่มและเปลี่ยนในบางเส้นทางการบิน
และในระยะข้างหน้าก็อาจจะมีผลกระทบต่อไปถึงสายการบินสัญชาติไทยอื่นๆที่บินไปสหรัฐอเมริกา
ยุโรป จีน และญี่ปุ่น
จะเห็นได้ว่าดัชนีตัวเลขสำคัญๆเกือบทั้งหมดที่ติดลบในไตรมาสแรกของปี
2558
กลับยิ่งติดลบมากขึ้นในไตรมาสที่ 2 ตลอดจน “ข่าวร้าย” ที่จะซ้ำเติมเข้ามาอีกในครึ่งหลังของปี
ทำให้ความเชื่อที่ว่าเศรษฐกิจไทยจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 3 แล้วจะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ของปีนั้น
ดูจะเป็นจริงได้ยาก