สศอ. เล็งปรับดัชนี “เอ็มพีไอ–จีดีพี” อุตสาหกรรมหลังสิ้นสุดไตรมาส 3 ลดลงตามการส่งออก ด้าน ส.อ.ท. คาดการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวต่อเนื่อง 2 ปี ตามภาวะเศรษฐกิจโลก และจะฟื้นตัวได้ในปี 2560
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ยังมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่อง แต่อาจอยู่ในภาวะที่ดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ติดลบมากถึง 7.6% ทำให้ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เอ็มพีไอติดลบไปแล้ว 3.7% ขณะที่ไตรมาส 3 ยังพอมีปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อเอ็มพีไออยู่บ้าง เช่น ตลาดคู่ค้าของไทยในภูมิภาคอาเซียนที่ยังขยายตัวอยู่เล็กน้อย และเพื่อนบ้านที่ยังมีความนิยมสินค้าที่ผลิตในไทย แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลบวกต่อเอ็มพีไอให้เพิ่มขึ้น มากนัก
สำหรับการใช้กำลังการผลิตในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในไตรมาส 3 สศอ. คาดการณ์ว่าจะไม่ขยายตัวมากนัก แต่มีแนวโน้มดีกว่าเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งนับจากนี้จะเป็นการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เดือน เม.ย.มีกำลังการผลิตตกต่ำสุดในรอบครึ่งปีอยู่ที่ 52.68%ของกำลังการผลิตรวม และเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในเดือน พ.ค.ที่กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 56.94% และเดือน มิ.ย.ที่ 57% ดังนั้นคาดว่าเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 สถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะยังคงเป็นการขยายตัวในระดับต่ำ
ทั้งนี้ สศอ.จะมีการทบทวนเอ็มพีไอ และ อัตราการใช้กำลังการผลิต และอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพีภาคอุตสาหกรรม) ก่อนจะปรับประมาณการหลัง สิ้นสุดไตรมาส 3 ของปี เพื่อให้สอดคล้องกับการส่งออกที่ลดลง และตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด โดยในขณะนี้การผลิตยังไม่มีอะไรเปลี่ยน แปลงมากนัก เพราะเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว แม้ราคาน้ำมันจะลดลง ค่าเงินบาทอ่อนตัว แต่ก็ต้องดูคู่แข่งของไทยว่า ค่าเงินอ่อนค่าด้วยหรือไม่
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานงานส่งเสริมการค้าการลงทุนและสภาธุรกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การลงทุนของภาคเอกชนในปีนี้ มองว่าจะอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2 ปี และคาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2560 ตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยยอดผู้ที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในปี 2556 ที่มีจำนวนกว่า 1.1 ล้านล้านบาท และในปี 2557 มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท โดยอาจมีบางส่วนประมาณ 20-30% ที่จะลงทุนตั้งโรงงานภายในปีนี้ ที่เหลือก็จะชะลอดูภาวะเศรษฐกิจก่อน เพราะมีระยะเวลาลงทุนภายใน 3 ปี หลังได้รับการอนุมัติจากบีโอไอ แต่อาจมีบางส่วนที่เกิน 3 ปี ก็จะขอยืดเวลาการลงทุนออกไปกับบีโอไอ
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนมาจาก 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน 80% และผลจากปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองของไทย 20% โดยปัจจัยจากการเมืองภายในประเทศ นักลงทุนมีความกังวลในเรื่องของกรอบระยะเวลาการเลือกตั้ง หากยิ่งยืดเวลาออกไป ก็จะกระทบต่อการเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป และการลงนามเขตการค้าเสรี ในประเทศอื่นๆ ซึ่งทำให้การส่งออกของไทยเสียเปรียบคู่แข่ง รวมทั้งมีความกังวลภายหลังการเลือกตั้งด้วยว่า จะมีเหตุความไม่สงบตามมาหรือไม่ จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอดูความชัดเจนในเรื่องนี้
“ปัญหาการซบเซาของเศรษฐกิจโลก มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานใหม่หรือขยายการลงทุนมากที่สุด หากเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี จึงจะทำให้การลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ทั้งนี้ จากภาวะความไม่สงบภายในประเทศ ที่กินเวลามายาวนาน ก็เป็นส่วนหนึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติ หันไปลงทุนที่ประเทศอื่น และส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนออกไป เห็นได้จากตัวเลขการนำเข้าเครื่องจักร และสินค้าทุนที่ลดลง ทำให้ภาคอุตสาหกรรมขาดการพัฒนามานานกว่า 3 ปี จนทำให้ศักยภาพการแข่งขันลดลง”.