สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

คลังลดภาษี"นำเข้าเครื่องจักร"ปลุกเอกชนลงทุน
11/08/2015
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
กระทรวงคลังงัดมาตรการลดภาษี "นำเข้าเครื่องจักร-ปัจจัยการผลิต" กระตุ้นลงทุนภาคเอกชน หลังสัญญาณนำเข้าสินค้าทุนดิ่งต่อเนื่อง "สมหมาย" ยันได้ข้อสรุป ส.ค.นี้ หวังช่วยเสริมทัพ "ลงทุนภาครัฐ" ประคองเศรษฐกิจ ธปท. ประกาศปรับลดทุกดัชนี "ส่งออก-นำเข้า-จีดีพี" ชี้ครึ่งปีหลังปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก



คลังเล็งลดภาษีนำเข้าเครื่องจักร

นาย สมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของ ประเทศ ครั้งที่ 1/2558 ซึ่งตนเป็นประธานกรรมการนั้น ได้ดำเนินการติดตามและพิจารณากรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2558-2559 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยในส่วนนี้มีมาตรการด้านภาษีในส่วนของการยกเว้น/ลดภาษีและอากรขาเข้า สำหรับเครื่องจักร วัสดุและปัจจัยการผลิต เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน ทั้งที่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและไม่ใช่เอสเอ็มอี

"ได้สั่งการ ให้ผู้ดูแลไปดูก่อนว่า มีมาตรการเกี่ยวกับภาษีอะไรอีกบ้างที่จำเป็น และยังสามารถลดให้ได้ เพื่อช่วยให้เอกชนสามารถเพิ่มการลงทุนได้ คาดว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดมาตรการได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้" นายสมหมายกล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวว่า มาตรการลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรและปัจจัยการผลิตต่าง ๆ นั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นการลงทุนในภาคเอกชนที่ปัจจุบันค่อนข้างหยุดนิ่ง สะท้อนจากการนำเข้าสินค้าทุนหดตัวต่อเนื่อง โดยการนำเข้าสินค้าทุน (ไม่รวมเครื่องบินและเรือ) ครึ่งปีแรกหดตัวลงกว่า 4.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการนำเข้าที่ไม่รวมสินค้าในหมวดเชื้อเพลิงลดลง 0.1% โดยกระทรวงการคลังคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นในการลงทุนภาคเอกชนกระเตื้องขึ้น เพื่อมาช่วยพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันก็ฝากความหวังไว้กับแค่การลงทุนภาครัฐ และด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2558-2559 ประกอบด้วย การขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยการเร่งรัดโครงการลงทุนของรัฐและรัฐวิสาหกิจ การร่วมทุนระหว่างรัฐต่อรัฐ และการเข้าร่วมการลงทุนของภาคเอกชนที่มีความพร้อม ภายใต้กรอบวงเงินลงทุนประมาณ 1.95 ล้านล้านบาท รวมถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุน โดยพิจารณาปรับสิทธิประโยชน์การลงทุนแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับความต้องการ ของนักลงทุน และมาตรการการเงินการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน วงเงิน 1 แสนล้านบาท พร้อมกันนี้มีมาตรการการเงินการคลังฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ประกอบด้วยมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ มาตรการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นเช่น ซ่อมแซมแหล่งน้ำ ระบบส่งน้ำ ซ่อมแซมโรงเรียน โรงพยาบาล มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ นายสมหมายยืนยันว่า ล่าสุดได้สั่งการให้ตัดเรื่องสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(Soft Loan) ออกไปจากข้อพิจารณาแล้ว เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่จะให้ภาครัฐเข้ามารับส่วนนี้ ซึ่งธนาคารพาณิชย์สามารถดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว เพราะถ้าทำจะเป็นการบิดเบือนตลาดและทำให้ผิดวินัยการคลัง

ธปท.หั่นเป้าส่งออกอีกรอบ

นาง รุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ภาคการส่งออกยังติดลบต่อเนื่องถึง -8.9% และหดตัวมากกว่าที่ ธปท.ประเมินไว้ จากปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม ทั้งเศรษฐกิจจีนชะลอกว่าคาดการณ์ จนกระทบต่อเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการส่งออกไทยให้ชะลอตัว

ส่ง ผลให้ภาพรวมการส่งออกไตรมาส 2/58 ยังติดลบต่อเนื่องถึงระดับ -5.5% จากไตรมาสแรกที่ -4.3% ทำให้ ธปท.ไม่สามารถคงเป้าการส่งออกไว้ที่ประมาณการเดิมที่ -1.5% โดยในการแถลงนโยบายการเงินวันที่ 25 ก.ย.นี้ ธปท.จึงเตรียมปรับเป้าส่งออกลงให้ใกล้เคียงกับประมาณการของสำนักงานเศรษฐกิจ การคลัง (สศค.) ที่ล่าสุดประเมินว่า ส่งออก -4% พร้อมทั้งคาดว่าจะปรับลดคาดการณ์ตัวเลขนำเข้าลงเช่นเดียวกัน หลังติดลบต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/58 นำเข้า -10.1% จากการลงทุนในประเทศที่ยังต่ำ และนำเข้าสินค้าทุนชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา 

"ทำ ให้มองภาพเศรษฐกิจปีนี้คาดว่าอาจเติบโตได้ใกล้เคียงที่ประเมินไว้ หรือต่ำกว่า 3% เล็กน้อย ซึ่งการแถลงในวันที่ 25 ก.ย.นี้ เราคงต้องมีการปรับลดตัวเลขทั้งหมด ทั้งส่งออก นำเข้า จีดีพี ขณะที่ตัวอื่น ๆ เช่น อุปสงค์ในประเทศก็ชะลอตัว

การบริโภคเอกชนก็ยังอ่อนแอ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังถูกบั่นทอนทั้งจากภัยแล้ง และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงดังนั้นหากดูในครึ่งปีหลังแล้วก็พบว่า มีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก เพราะปัจจัยบวกมีแค่การลงทุนภาครัฐที่ยังเป็นตัวกระตุ้นหลัก และการท่องเที่ยวเท่านั้น" นางรุ่งกล่าว

บาทอ่อนทะลุ 35 บาทจนสิ้นปี

ด้าน นางสาวพรวลี พิลาวรรณ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุนธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารไม่ได้วางเป้าหมายการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในไตรมาส 3/58 เนื่องจากค่าเงินบาทขณะนี้อ่อนค่าค่อนข้างเร็ว และมากกว่าที่ประเมินไว้ว่าจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ 34.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 3/58 ดังนั้นจึงมองเป้าหมายค่าเงินบาทไปที่ไตรมาสสุดท้ายที่ระดับ 35.20 บาท โดยเชื่อว่ามีโอกาสเห็นค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวได้ค่อนข้างยาก แล้ว ในระยะนี้น่าจะเห็นค่าเงินเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 35.00 บาทต่อไป เพราะนักลงทุนจะเริ่มให้ความสนใจกับการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐในเดือน ก.ย.มากขึ้น ทำให้ประเมินว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าได้ต่อเนื่อง

กูรูฟันธง กนง. "คง" ดอกเบี้ย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินและบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โดยบลูมเบิร์กพบว่า นักเศรษฐศาสตร์ 8 ใน 10 คน คาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 5 ส.ค.นี้ จะมีมติ "คง" อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ขณะที่มี 2 เสียง ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงมา 0.25% หรือมาอยู่ที่ 1.25%

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทรจำกัด กล่าวว่า เมื่อต้นเดือน ก.ค. บล.ภัทรคาดว่า การประชุม กนง.รอบที่จะถึงนี้น่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ออกมาต่ำกว่าที่คาดทั้งการส่งออก ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม สะท้อนว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพิ่มเติม แต่เนื่องจากล่าสุดหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีขึ้น ทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ราว 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้มีน้ำหนักว่ากนง.อาจจะคงดอกเบี้ยมากกว่า

อย่าง ไรก็ดี การประชุม กนง.ในวันพุธที่จะถึงนี้น่าจะตัดสินใจยาก เพราะหาก กนง.ลดดอกเบี้ย จะมีเรื่องที่ต้องพิจารณาอยู่ 2-3 ประเด็น อาทิ ประสิทธิภาพของการลดดอกเบี้ย หากลดแล้วธนาคารพาณิชย์ไม่ลดตาม หรือลดแล้ว เอกชนก็ไม่ได้กู้ไปลงทุนเพิ่มขึ้น ภาคครัวเรือนก็ยังติดที่หนี้ครัวเรือนสูง ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐในเวลานี้ก็อ่อนค่ามาก ดังนั้นลดไปอาจกระสุนด้านได้

อีกประการคือการคำนึงถึงเสถียรภาพการ เงินเพราะปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำแล้ว ถ้าลดลงอีกก็น่าห่วงว่าคนจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นได้

"ส่วนส่งออกที่หดตัวลง ปัญหานี้เป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างและเป็นเรื่องระยะยาว ที่ไม่สามารถใช้มาตรการกระตุ้นระยะสั้นหรือลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว จะเพียงพอต่อการแก้ปัญหาระดับโครงสร้างได้ ดังนั้นเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาในขณะนี้ จึงทำให้มีโอกาสที่ กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายในอัตราปัจจุบันต่อไป และน่าจะเป็นรอบที่คณะกรรมการตัดสินใจยากด้วย" นายพิพัฒน์กล่าว

ชี้มีโอกาสลดดอกเบี้ยก่อนสิ้นปี

ขณะที่นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า มีแนวโน้มที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ส่วนรอบ 5 ส.ค.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน เพื่อรอดูตัวเลขเศรษฐกิจให้ชัดเจนขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทที่แตะ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก็มาเร็วกว่าที่คาดถึง 3 เดือน 

นอกจากนี้ประเมิน ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC รอบสุดท้ายของปี (15-16 ธ.ค.) แม้ว่าล่าสุดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ก็ต้องรอติดตามเงินเฟ้อว่าเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดหรือไม่ ดังนั้นหาก กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายก็ต้องเป็นครั้งถัดไปก่อน ซึ่งยังเหลืออีก 3 ครั้ง คือในเดือน ก.ย., พ.ย. และ ธ.ค.

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.