เอกชนเล็งตั้งโรงถลุงเหล็กต้นน้ำพื้นที่ทหาร ชี้แม้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าอ.บางสะพาน แต่ต่ำกว่านำเข้าพร้อมรองรับการขยายตัวภาคอุตฯ
ดร.ทรงวุฒิ ไกรภัสสร์พงษ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการสร้างโรงถลุงเหล็กต้นน้ำว่า การสร้างโรงถลุงเหล็กต้องจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้า ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาไทย เพื่อให้โครงการเป็นดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการศึกษา 5 พื้นที่ ได้แก่ อ.กุยบุรี,อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ,อ.ประทิวจ.ชุมพร ,จ.กาญจนบุรี และที่ จ.ทวาย ประเทศเมียนมาร์
อย่างไรก็ตามจากผลการศึกษาพื้นที่ อ.บางสะพานจะมีความเหมาะสมมากที่สุดในเรื่องต้นทุนการก่อสร้างและการผลิตแต่ที่ผ่านมาเกิดการต่อต้านจากชุมชนมาอย่างยาวนานทำให้โครงการเกิดขึ้นไม่ได้ภาครัฐจึงเบนเข็มไปมุ่งที่ จ.ทวาย ประเทศเมียนมาร์เนื่องจากมีท่าเรือน้ำลึกรองรับพื้นที่มีความเหมาะสม แต่จากการสำรวจพบว่าในเมียนมาร์ยังขาดอุตสาหกรรมสนับสนุนและขาดความคล่องตัวในการก่อสร้าง
สำหรับพื้นที่ที่มีศักยภาพที่เหมาะจะเป็นโรงถลุงเหล็กที่เอชนทำการศึกษาได้แก่ จ.กาญจนบุรี พื้นที่ อ.บางสะพาน และ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์และพื้นที่ อ.ประทิว จ.ชุมพรรัฐบาลมีแนวโน้มเสนอให้เข้าไปใช้พื้นที่ทหารจ.กาญจนบุรี เนื่องจากมีพื้นที่มาก อยู่ห่างไกลชุมชนทำให้ไม่มีการต่อต้าน และยังห่างท่อเรือไม่มากสามารถขนส่งเหล็กได้จากท่อเรือทวาย และท่าเรือ จ.เพชรบุรีซึ่งมีที่ดินของกองทัพเรือติดชายทะเลสามารถสร้างท่าเรือน้ำลึกขนส่งแร่เหล็กได้หากรัฐบาลสนับสนุนให้ก่อสร้างโรงถลุงเหล็กที่กาญจนบุรีก็สามารถต่อยอดสร้างท่าเรือที่ จ.เพชรบุรีขึ้นมารองรับได้
นายพศิน แปลกสิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าแม้การสร้างโรงถลุงเหล็กที่ จ.กาญจนบุรี จะมีข้อได้เปรียบหลายประการแต่ในเรื่องของต้นทุนการก่อสร้างโรงถลุงเหล็กต้นน้ำจะสูงกว่าซึ่งหากสร้างที่ อ.บางสะพาน จะมีต้นทุนโรงละ 3-4 หมื่นล้านบาทมีกำลังการผลิต 3-5 ตันต่อปีส่วนเหล็กที่ผลิตได้จะมีราคาต่ำกว่าเหล็กนำเข้าประมาณ 2 พันบาทต่อตัน แต่ถ้าสร้างที่ จ.กาญจนบุรี จะมีค่าก่อสร้างโรงละ 5-6 หมื่นล้านบาท กำลังการผลิต 3-5 ตัน และมีราคาถูกกว่าเหล็กนำเข้าลดลงประมาณ 1พันบาทต่อตัน“