การค้าระหว่างสหภาพยุโรปหรืออียู และอาเซียนจากนี้ต่อไปอีก 5 ปี
คาดว่าจะขยายตัวในอัตราเฉลี่ย 4-5% ต่อปี
สำนักวิจัยกลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเชื่อว่า แม้ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
การค้าระหว่างสองภูมิภาคนี้จะซบเซาลงไปบ้าง แต่ผลจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อยๆ
ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในยุโรป
น่าจะส่งผลให้การค้าระหว่างอียูกับอาเซียนเติบโตตามไปด้วย
ตลอดช่วงเศรษฐกิจภาวะถดถอยทั่วโลก
ระหว่างปี 2551-2557 ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอียู กับอาเซียน เรียกได้ว่า
ยังแข็งแกร่งอยู่ โดยอัตราการส่งออกของอียูมายังอาเซียนเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี 3.9%
ขณะที่การนำเข้าจากอาเซียนขยายตัว 2.2%
ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเลขการส่งออกทั่วโลกในช่วงเดียวกันเติบโตที่ 2.7%
และนำเข้าลดลง 0.7%
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้การค้าระหว่างอียูกับอาเซียนขยายตัวมาจากสินค้าอุตสากรรมของทั้งสองฝ่าย
สำหรับแนวโน้มในอนาคต
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดพยากรณ์ว่า จีดีพีของอียูจะเติบโตที่ 1.5% ในปี 2558 และ 2.1%
ในปี 2559 แม้ความต้องการภายในประเทศของอียูจะยังคงอยู่ในระดับต่ำราว 3.5%
เมื่อเทียบกับช่วงที่เคยสูงสุดในปี 2551 แต่คาดว่าในช่วง 3 ปีจากนี้
ความต้องการภายในประเทศจะขยายตัวขึ้นรวดเร็วกว่าการเติบโตของจีดีพี
ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนที่กระเตื้องขึ้นและการบริโภคที่เติบโตขึ้น
ส่วนในภูมิภาคอาเซียน สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดการณ์ว่า
จะมีการเติบโตคงที่ตั้งแต่นี้ไปจนถึงปี 2563
ทั้งนี้
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่า การส่งออกของอียูมายังอาเซียน
จะเติบโตเร็วกว่าการนำเข้าจากอาเซียน
ซึ่งจะส่งผลให้ภาวะขาดดุลการค้าของอียูลดลงหรืออาจมีโอกาสเกินดุลการค้าบ้างเล็กน้อย
โดยคาดว่า นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรปในช่วง 5
ปีจากนี้ที่สนับสนุนการส่งออก
ประกอบกับการปรับโครงสร้างที่กำลังดำเนินการอยู่จะหนุนให้เศรษฐกิจยุโรปสามารถแข่งขันได้มากขึ้น
ในส่วนของภูมิภาคอาเซียน คาดว่า
ความต้องการภายในประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของชนชั้นกลางภายในภูมิภาค
สำหรับค่าเงินยูโรที่ลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินของทุกประเทศในอาเซียนเมื่อเร็วๆ นี้
ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนการส่งออกจากยุโรปมายังอาเซียน
ประเภทของสินค้านำเข้าและส่งออกระหว่างอียูและอาเซียนค่อนข้างคล้ายคลึงกัน
ราว 60-70% เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ เคมีภัณฑ์ (ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทยา)
โดยอียูส่งออกมายังอาเซียนราว 14% ที่ และนำเข้าจากอาเซียนราว 9%
และสินค้าที่เกี่ยวกับอาหารทั้งนำเข้าและส่งออกระหว่างทั้งสองภูมิภาคราว 8%
อย่างไรก็ตาม อียูนำเข้าวัตถุดิบจากอาเซียนราว 8% ของยอดนำเข้าโดยรวม
ส่วนการส่งออกวัตถุดิบจากอียูมายังอาเซียนน้อยมากจากไม่มีนัยสำคัญ
เมื่อพิจารณาในรายละเอียด
องค์ประกอบของสินค้าแตกต่างกันไปตามข้อได้เปรียบในการแข่งขันของแต่ละประเทศ เช่น
ในหมวดสินค้าอุตสาหกรรม
สินค้าที่อียูส่งออกมายังอาเซียนประกอบด้วยสินค้าอุตสาหกรรมหนัก เช่น รถยนต์
เครื่องบิน อุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์เกี่ยวกับน้ำมันและก๊าซ
ส่วนสินค้าที่อียูนำเข้าจากอาเซียนประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่นไมโครชิป
คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้
อียูยังนำเข้าสินค้าเครื่องนุ่งห่มจำนวนมากจากอาเซียน ส่วนใหญ่จากเวียดนาม
รูปแบบทางการค้าระหว่างอาเซียนกับอียู
ส่วนใหญ่จะเป็นการค้ากับประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เช่น เยอรมนี
สหราชอาณาจักรและอิตาลี
ตลอดจนเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการขนส่ง
จากองค์ประกอบสินค้าที่คละกันหลากหลายประเภทในการค้าระหว่างอียูและอาเซียน
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมองว่า แนวโน้มการค้าจะเน้นด้านเทคโนโลยี
และเป็นการค้าในสินค้าไฮเทค โดยสองหมวดหลักๆ
ที่น่าจับตาคือผลิตภัณฑ์ด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
และอุปกรณ์การขนส่ง
สำหรับผลิตภัณฑ์ด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบัน อียูนำเข้ามากกว่าส่งออก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อได้เปรียบด้านต้นทุนของอาเซียน
และตอบสนองความต้องการของอียูสำหรับสินค้าขั้นกลาง (intermediate goods)
และเป็นสินค้าที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีมากนักในกระบวนการผลิต
ในช่วง 5
ปีจากนี้ไป สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่า
อียูจะส่งออกผลิตภัณฑ์ด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มายังอาเซียนมากขึ้น
โดยอัตราการส่งออกจะขยายตัวเร็วกว่านำเข้าเล็กน้อย
ทั้งนี้เพราะความต้องการภายในประเทศที่แข็งแกร่งและความมั่งคั่งของภูมิภาคจะส่งผลให้เกิดความต้องการสินค้าไฮเทคมากขึ้น
นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงความต้องการในสินค้าประเภทอื่นด้วย เช่น อุปกรณ์การแพทย์
เครื่องจักรกลสำหรับโรงงาน และสินค้าคุณภาพสูงอื่นๆ
สำหรับผู้บริโภค
ขณะเดียวกัน แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของอียู
ก็น่าจะส่งให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์นำเข้าจากอาเซียนไปยังอียูเพิ่มขึ้นด้วย
โดยอาเซียนมีโอกาสพัฒนาความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้นจากข้อได้เปรียบในแง่ต้นทุนและกระแสความสนใจลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้าไปจากทั่วโลก
ในระยะกลาง
เมียนมาร์และกัมพูชามีโอกาสที่จะก้าวทันเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี
110% ในการส่งออกผลิตภัณฑ์ด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไปยังอียู
ซึ่งเป็นผลมาจากฐานเดิมที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
สำหรับข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างอาเซียน-สหภาพยุโรปซึ่งเริ่มกันมาตั้งแต่ปี 2550
แต่ชะงักงันไป อียูจึงหันไปเจรจาการค้าแบบทวิภาคีกับแต่ละประเทศแทน
ขณะที่อียูประกาศว่าเจตนารมณ์ว่าต้องการข้อตกลงการค้าในระดับภูมิภาคแต่ใช้การเจรจาแบบทวิภาคีเป็นก้าวนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว
การเจรจากับสิงคโปร์และมาเลซียเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2553
ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีแผนที่จะเจรจากันในรอบต่อไป
ความตกลงการค้าเสรีเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
แต่หากสำเร็จก็ย่อมส่งผลกระตุ้นให้เกิดการค้าแบบทวิภาคีได้อย่างมาก
โดยเฉพาะการค้าด้านบริการซึ่งยังฐานเดิมยังอยู่ในระดับต่ำ