รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมนำภาคเอกชนเดินทางเยือนปากีสถาน
กลางเดือนสิงหาคมนี้ หลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เดินหน้าเปิดเจรจาความตกลงการค้าเสรี
FTA ไทย - ปากีสถาน เพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกของไทย
ตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 2,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2561

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า พล.อ. ฉัตรชัย
สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมนำคณะภาครัฐและเอกชน
เดินทางเยือนปากีสถาน เพื่อเข้าร่วมประชุม JTC ไทย - ปากีสถาน ครั้งที่
3ระหว่างวันที่ 12 - 13สิงหาคม 2558ณ กรุงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน
หลังจากคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้เปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ไทย -
ปากีสถาน โดยในการประชุมนี้ รัฐมนตรีการค้าของทั้งสองประเทศ จะประกาศเริ่มการเจรจา
FTA ไทย - ปากีสถาน และจะหารือแนวทางความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน
รวมทั้งการทำให้การค้าสองฝ่ายมีความสะดวกคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้
จะพิจารณาความร่วมมือในสาขาที่แต่ละฝ่ายมีศักยภาพที่จะสามารถดำเนินการ
เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ อาหาร เกษตรและประมง
ยานยนต์และชิ้นส่วน
และจะเปิดโอกาสให้นักธุรกิจไทยกับปากีสถานเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างกันในสาขา อาหาร
ชิ้นส่วนยานยนต์ อัญมณี เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักรกล โดยหลังจากนี้
ไทยจะเดินหน้าเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการเจรจาจัดทำ FTA ไทย - ปากีสถาน ครั้งที่
1ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน 2558เพื่อให้แผนการเจรจาจัดทำความตกลง FTA ไทย -
ปากีสถาน แล้วเสร็จภายในกลางปี 2560ซึ่งทั้ง 2ประเทศ
ได้ตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ได้ 2,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี
2561จากปี 2557มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 1,016ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบให้เปิดการเจรจาไทย - ตุรกี หลังจากตุรกี ตัดสิทธิ
GSP กับไทย ทำให้ไทยต้องเสียภาษีในอัตราปกติ ซึ่งการจัดทำ FTA
จะช่วยให้ไทยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากตุรกีเป็นการถาวร
เอื้อประโยชน์โดยตรงให้กับไทยในการเข้าสู่ตลาดที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง
ซึ่งตุรกี จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการเจรจาจัดทำ FTA ไทย - ตุรกี ครั้งที่ 1
ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน 2558 เพื่อผลักดันแผนให้การเจรจาจัดทำความตกลง FTA ไทย -
ตุรกี แล้วเสร็จภายในปลายปี 2559 โดยจากการศึกษาพบว่า การจัดทำ FTA จะส่งผลให้ GDP
ของไทยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.03 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 65.9 – 76.7 ล้านเหรียญสหรัฐ