"หม่อมอุ๋ย" ชี้เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหารุมเร้า เตรียมงัดมาตรการอุดรูรั่วเฉพาะจุด เชื่อได้ผลชัดกว่าใช้เงินเหวี่ยงแห ไม่เกิดประโยชน์ ระบุเร่งช่วยเหลือชาวนาและชาวสวนยางรายย่อยที่มีพื้นที่ไม่เกิน15ไร่ พ่วงด้วยการติดตามใกล้ชิดอีก 3.5 ล้านไร่ ด้าน "ธนวรรธน์" มองภัยแล้งลากยาวกดจีดีพีเหลือต่ำ 3% ไม่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นหวือหวา แนะแค่เยียวยาตรงจุด มั่นใจเศรษฐกิจต่างประเทศไม่กระเทือน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายในโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) 2558 ที่จัดขึ้นโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ภายในหัวข้อ "ภาพรวมการฟื้นตัว และแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย" ว่า การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจหดตัว การส่งออกที่เติบโตติดลบมา 2 ปีติด หลังจากในปี 2554 ขยายตัวได้ที่ระดับ 10% และลดลงเหลือ 2.9% ในปี 2555 และมาติดลบในปี 2556-2557 ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ซึ่งจากสหรัฐอเมริกาขุดน้ำมันเชลล์ออยล์ได้ที่มีขนาดมากกว่า 2 เท่าของน้ำมันโลก ทำให้ความต้องการน้ำมันที่แท้จริงปรับตัวลดลง ตลาดสินค้าที่เชื่อมโยง เช่น โลหะ เหล็ก และเกษตร ปรับตัวลดลงตามมาด้วย ส่งผลต่อการส่งออกทุกประเทศลดลง ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่เผชิญความเปราะบาง ทำให้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวคงไม่ได้เป็นประเด็นที่ผิดปกติ
ดังนั้น แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้น อย่าเดินนโยบายผลักดันเศรษฐกิจให้เฟื่องฟู เพราะเงินจะหายไปหมด ควรจะช่วยตรงจุดที่อ่อนแอ ซึ่งเริ่มด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปในงบประมาณประจำ และเริ่มดูทีละภาค ซึ่งภาคแรงงานปัจจุบันยังดีอยู่ อัตราการว่างงานยังต่ำ ภาคเกษตร จะมีบางกลุ่มที่ยังพอไปได้ เช่น ปาล์ม อ้อย แต่ข้าวยังคงได้รับผลกระทบ เพราะไทยยังมีสต๊อกข้าวเหลือกว่า 17 ล้านตัน และมีการผลิตอีก 40-41 ล้านตัน แต่มีการค้าขายเพียง 38 ล้านตัน ทำให้ขายข้าวไม่ได้ จึงต้องเริ่มช่วยกลุ่มนี้ก่อน เพราะได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ กลุ่มแรกที่จะเข้าไปช่วยจะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ โดยชาวนาที่ปลูกข้าวปัจจุบันมีอยู่ 3.6 ล้านครัวเรือน คิดเป็นชาวนาจำนำข้าว 1.8 ล้านครัวเรือน แต่เป็นกลุ่มที่มีพื้นที่นามากกว่า 20 ไร่ขึ้นไป ทำให้ชาวนารายย่อยต่ำกว่า 15 ไร่ไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการก่อนหน้า ดังนั้นจึงต้องเข้าไปช่วยกลุ่มนี้ที่มีพื้นที่นาไม่เกิน 15 ไร่ รวมถึงยางก็ไม่เกิน 15 ไร่ โดยให้ 1 พันบาทต่อไร่ ซึ่งใช้วงเงินช่วยเหลือประมาณ 4.9 หมื่นล้านบาท ช่วยชาวนารายย่อยไม่ให้เกิดหนี้ ถือเป็นการอุดหนี้ให้คนจน นับเป็นการอุด 2 จุดอ่อนของเศรษฐกิจ และยังเป็นการช่วยเรื่องของการใช้จ่ายในภาคเกษตรด้วย
ขณะเดียวกัน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีเรื่องพร่องของน้ำตั้งแต่ปี 2555 เพราะคนปลูกข้าวเยอะในช่วงโครงการจำนำข้าว ประกอบกับปีนี้ฝนตกไม่พอ ทำให้น้ำไม่พอปลูกข้าวนาปรัง รัฐบาลจึงให้ชาวนามาปลูกพืชอื่นทดแทน หรือให้หันมาขุดบ่อ โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือ ทั้งในเรื่องการจ่ายค่าแรง อบรมสัมมนา อุดรายได้ให้ในช่วงที่ไม่สามารถเพาะปลูกข้าวนาปรังได้ ซึ่งได้ผลระดับหนึ่ง ทำให้ข้าวนาปรังออกมาไม่เยอะ
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันไทยยังคงเผชิญปัญหาภัยแล้งอยู่ จึงต้องหาวิธีช่วยเหลือ โดยเริ่มจากเดือนกุมภาพันธ์ดูว่าหมู่บ้านไหนที่แล้งซ้ำซาก ซึ่งมีอยู่ 3.5 พันตำบล รัฐจะช่วยชาวนาสร้างบ่อน้ำกลางไร่ เพื่อให้ช่วยปลูกข้าวได้ หรือปรับปรุงราวตากข้าว เพื่อรอฝนที่คาดว่าจะตกในเดือนพฤษภาคม แต่ฝนก็ยังไม่ตก จึงต้องมาพิจารณาช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยดูจากข้อมูลจะพบว่ามี 63 ล้านไร่ที่ปลูกข้าว แต่มีเพียง 55 ล้านไร่ที่ยังไม่ได้เพาะปลูกเพราะอยู่นอกเขตชลประทาน และที่เหลือ 8 ล้านไร่ที่เพาะปลูกแล้ว ซึ่งในจำนวนนี้มีประมาณ 3.5 ล้านไร่อยู่นอกเขตชลประทานแต่มีระบบชลประทาน และ 4.5-4.6 ล้านไร่มีความเคยชินที่จะเพาะปลูก ซึ่งเทียบกับปริมาณน้ำเพียงพอเพาะปลูกแค่ 3.5 ล้านไร่ ดังนั้นต้องติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม
"ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว มาตรการระยะสั้น แต่หากเราใส่เงินลงไปก็หายต๋อม จึงต้องอุดรูรั่วก่อน แต่ข่าวภัยแล้งทำให้คนขาดความเชื่อมั่น ซึ่งตอนนี้เราก็รอดูข้าวอยู่ ข้าวออก ข้าวตาย หากข้าวได้ราคาถึง 9 พันบาท ก็ดี แต่ถ้าไม่ถึงก็ต้องหาเงินอุดหนี้ให้ชาวนา ไม่ให้คนเป็นหนี้ ซึ่งชาวนาพื้นที่ต่ำกว่า 15 ไร่จะได้มีรายได้ดีขึ้น ซึ่งเราต้องดูเป็นจุดๆ ไม่ใช้เงินพร่ำเพรื่อ และจีดีพีโตได้ 3% ก็ยังเป็นไปได้"
ด้าน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะเป็นเรื่องของภัยแล้ง ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ปริมาณน้ำจะเข้ามาในเขื่อนได้อย่างเร็วสุดในเดือนสิงหาคม-กันยายน แต่หากปริมาณน้ำมาเร็วคาดว่าความเสียหายจะอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท แต่กรณีลากยาวความเสียหายจะอยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท ส่งผลกระทบต่อจีดีพีลดลง 0.5% และมีโอกาสที่จีดีพีจะต่ำกว่า 3% กรอบจะอยู่ที่ 2.7-2.9% ส่วนปัจจัยต่างประเทศ เช่น กรีซคาดว่าปัญหาจะสามารถคลี่คลายได้ เนื่องจากลูกหนี้ยอมเจรจามากขึ้น ขณะที่เจ้าหนี้มีทีท่าผ่อนปรนมากขึ้น ส่วนปัญหาจีนเชื่อว่าทางการจีนจะมีมาตรการเข้ามาช่วยให้สถานการณ์ไม่รุนแรง
อย่างไรก็ดี ความหวังของเศรษฐกิจไทย อาจจะดูภาครัฐบาลเป็นสำคัญในช่วงเวลาที่กำลังซื้อในต่างจังหวัดลดลง ปัญหาเศรษฐกิจต่างประเทศคลายตัว การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้มาตรการหวือหวาคงไม่มีความจำเป็น แต่การดูแลและเยียวยาภาคเกษตรถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เพียงแต่ดูแลความเสียหายภัยแล้งแค่ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แต่ควรเยียวยาภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจซึมลึก และสามารถพยุงเศรษฐกิจให้เพิ่มตามกรอบ 3-3.5%
"การกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะทรุด การเอาเงินใส่ลงไปรอบแรกอาจยังไม่เห็น ดังนั้น วิธีง่ายสุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การเข้าไปดูแลราคา แต่ก็เป็นมาตรการสุ่มเสี่ยงเกินไป หรือช่วยโดยการลดต้นทุนการปลูกข้าว เงินจะกระจายจริง แต่ต้องเลือกช่วยคนที่เจ็บหนักสุดจากผลกระทบภัยแล้ง คือ กลุ่มที่มีพื้นที่ต่ำกว่า 15 ไร่ ส่วนปัญหาเศรษฐกิจโลกคิดว่ากระทบไม่มากเท่าภายในประเทศหากเศรษฐกิจซึมลึก"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,070 วันที่ 16 - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558