แบงก์ยกการ์ดสูงเฟ้นสินเชื่อครึ่งปีหลัง

แบงก์ชี้ครึ่งปีหลังความต้องการสินเชื่อใหม่ชะลอลง เหตุปัจจัยแวดล้อมใน-นอกฉุดรั้ง! ทั้งแนวโน้มการเพิ่มของ NPL -ความสามารถชำระหนี้สะดุด ค่าย "กรุงไทย"ยกการ์ดสูงทั้งสินเชื่อพรีไฟแนนซ์-โพสต์ไฟแนนซ์ "วรภัค" เผยโฟกัสสินเชื่อเอสเอ็มอีรายกลางย่อยเป้าโต30 % ส่วนพรีไฟแนนซ์จับกลุ่มท็อป มองอุตฯเหล็ก –อาหารทะเล-เกษตร เปราะบาง ค่ายบัวหลวง มองเทรนด์สินเชื่อกลุ่มบริการ-ยาง -ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรยังไปได้ ,ซีไอเอ็มบีไทย หั่นเป้าสินเชื่อรายย่อยชี้สินเชื่อบ้านยังโต-ส่วนบุคคลซึม
ตลาดเงินยังประเมินเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยโฟกัสการลงทุนภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก หลังภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจครึ่งปีแรกที่แผ่วลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้สำนักพยากรณ์ส่วนใหญ่ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยโดยคาดว่าอาจโตได้แค่ 3%จากต้นปีที่คาดไว้ที่ 3.5-4% ด้านการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย ไตรมาส 2/58 คาดว่าอยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กำหนดแถลงตัวเลขอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 สิงหาคมศกนี้
*กรุงไทยหั่นเป้าสินเชื่อคุมNPL
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)(บมจ.)ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงแนวโน้มในครึ่งปีหลังว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ไทยปีนี้คงไม่ถึง 4% ซึ่งธนาคารมีแนวโน้มจะต้องปรับลดเป้าลงทั้งเรื่องการเติบโตสินเชื่อและหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล เพราะอยากมั่นใจจะสามารถรักษาเสถียรภาพความแข็งแกร่งของฐานทุนและงบดุลของธนาคารไว้ได้ โดยการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เช่น สินเชื่อบ้านทั้งสินเชื่อผู้ประกอบการ(พรีไฟแนนซ์)และรายบุคคล(โพสต์ไฟแนนซ์)
โดยพรีไฟแนนซ์นั้นจะเน้นการปล่อยผู้ประกอบการรายใหญ่(Top Developer)มีประมาณ 14-15ราย ตอนนี้กรุงไทยเป็นอันดับ 3 ในการปล่อยพรีไฟแนนซ์ ซึ่งสิ้นปีคาดว่าจะอยู่ที่ 9 หมื่น-1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันมีพอร์ตเรียลเอสเตตอยู่ 9 หมื่นล้านบาท เทียบกับพอร์ตสินเชื่อรายใหญ่ประมาณ 6 แสนล้านบาท ทั้งนี้ส่วนใหญ่ธนาคารจะสนับสนุนผู้ประกอบการซื้อที่ดินแล้วพัฒนาเลยไม่ใช่ปล่อยสินเชื่อให้ซื้อที่ดินเปล่าหรือเป็นแลนด์แบงก์ ซึ่งหากเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่จะวางกรอบเวลาในการสร้างเร็วมาก
*สกรีนเข้มสินเชื่อรายบุคคล
" ด้านความต้องการสินเชื่อขณะนี้ไม่ใช่ประเด็น แต่ห่วงความสามารถในการผ่อนมากกว่า โดยตอนนี้ถ้าผมจะตั้งเป้าเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักไม่ยาก แต่เพราะระมัดระวัง เงินกองทุนขั้นที่ 2 (Second Tier ) เพราะที่ผ่านมา ข้อมูลการเกิดหนี้เสีย ก็เกิดจากกลุ่มนี้ค่อนข้างเยอะ นอกจากนี้สินเชื่อรายย่อยหรือรายบุคคลนั้นเอ็นพีแอล เกิดจากเครดิตบูโรสีส้มกับสีแดง ซึ่งข้อมูลประวัติสีแดงนั้นสะท้อนการผิดนัดชำระกับสถาบันการเงินอื่น หรือสีส้มคือรายที่ไม่มีประวัติบันทึกถ้าเป็นบัณฑิตจบใหม่เพิ่งทำงานก็ไม่เป็นที่สังเกต ดังนั้นหากเป็นกรณีรายใหม่จะต้องมีธุรกิจหลักอย่างอื่นรองรับ โดยที่ผ่านมาอัตราสินเชื่อที่ธนาคารปฏิเสธการอนุมัติ ( reject )ยังอยู่ที่ 30%"
*เช็กกลุ่มธุรกิจรายตัว
นายวรภัคกล่าว ทั้งยังมองไปถึงภาคธุรกิจขณะนี้ว่า ในส่วนอุตสาหกรรมเหล็ก ,ส่งออกอาหารทะเล –เกษตร ยังมีเปราะบาง โดยยังต้องติดตามใกล้ชิด ส่วนใหญ่ลูกค้ากรุงไทยจะเน้นการส่งออก ด้านประมงยังไม่มีปัญหา ยกเว้นกุ้งที่ยังต้องประคับประคองกันต่อ ขณะที่กลุ่มเกษตรอื่นๆยังไม่น่าห่วง ไม่ว่าจะกลุ่มโรงสี ปีนี้ถือว่าดีมาก ยกเว้นภาคกลางตอนล่างหรือเหนือตอนล่างซึ่งผลผลิตอาจน้อยลงจากผลกระทบของภัยแล้ง แต่ลูกค้าโรงสีส่วนใหญ่จะใช้ทุนส่วนตัว แต่จะเป็นหนี้เฉพาะเงินทุนหมุนเวียนเท่านั้น ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ยังมีสถานะดี ซึ่งธนาคารกรุงไทยจะให้ความช่วยเหลือลูกค้าให้เติบโตมั่งคั่ง โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยสินเชื่ออย่างเดียว เช่นขายพันธบัตรนักลงทุนและนำเงินให้ลูกค้าขยายกิจการ
ส่วนครึ่งปีหลัง ธนาคารยังอยากโฟกัสขยายสินเชื่อเอสเอ็มอี โดยตั้งเป้าเติบโตเพิ่ม 30% ซึ่งธนาคารกรุงไทย 2 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับยุทธศาสตร์เพราะมองว่าเอสเอ็มอีเป็นฟันเฟืองสำคัญ เห็นได้จากธุรกิจรายใหญ่วันนี้ล้วนเติบโตมาจากเอสเอ็มอีทั้งนั้น และเป็นยุทธศาสตร์สอดคล้องกับรัฐบาลอยู่แล้ว
*โฟกัสสินเชื่อเอสเอ็มอี
ปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีธนาคารกรุงไทยมีอยู่ 3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นรายใหญ่หรือเอสเอ็มอีไซซ์แอล 40% ส่วนรายกลางหรือไซซ์เอ็มไม่ถึง 1 แสนล้านบาท ดังนั้น เป็นโอกาสอีกมากที่จะเน้นปล่อยสินเชื่อทั้งรายกลางและรายเล็ก โดยธนาคารกรุงไทยมีศักยภาพเติบโตจากซัพพลายเชน นอกจากให้สินเชื่อแล้วยังเน้นการช่วยลูกค้าที่เข้ามาอยู่ในเครือข่ายและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่มีอยู่ทั่วประเทศ โดยให้น้ำหนักลูกค้าที่มีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าหลักประกันและประสบการณ์
"ทุกแบงก์ค่อนข้างเข้มข้นขึ้นเช่นเดียวกับกรุงไทย ยกตัวอย่างกลุ่มเอสเอ็มอี ผมไม่ดูงบการเงินเลย แต่จะดูข้อมูลด้านอื่นมากกว่า คือ ต่อให้สัดส่วนหนี้ต่อทุน หรือ D/E Ratio 5ต่อ 1 หรือ 10ต่อ 1 แต่สิ่งที่ผมดูและต้องการคือกำลังผลิตจริงต่อวัน หนี้ระยะสั้นกี่เปอร์เซ็นต์ของทุนหมุนเวียน หรือการเทียบข้อมูลกับลูกค้าประเภทเดียวกันในพื้นที่อื่น ซึ่งแบงก์เราสร้างข้อมูลเหล่านี้รองรับทั่วประเทศ"
*หนี้มีปัญหาเพิ่มสะท้อนภาพศก.
ด้านแนวโน้มเอ็นพีแอลนั้น นายวรภัคระบุว่า โดยรวมเอ็นพีแอลสุทธิยังเพิ่มจากปลายปีที่แล้ว เนื่องจากเงินให้สินเชื่อรวมก่อนหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ(Gross NPL)เพิ่ม ทำให้ตัวอื่นเพิ่มตามสะท้อนลูกหนี้มีปัญหาซึ่งวันนี้ยังมีอาการไม่ดีและเพิ่มขึ้นจากสภาพเศรษฐกิจ เห็นได้สิ้นปีก่อนเอ็นพีแอลสุทธิอยู่ที่ 5.3หมื่นล้านบาท ถัดมา 4เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.- เม.ย.)เอ็นพีแอลเพิ่ม 1.4หมื่นล้านบาท แต่ภายหลังจากกรุงไทยปรับระบบพิจารณาสินเชื่อ ระบบการบริหารความเสี่ยงและระบบติดตามหนี้หรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้เอ็นพีแอลลดลงในเดือนพฤษภาคม
*ธกท.ห่วงผ่อนชำระหนี้ตก
นายเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยว่า ภาพรวมสินเชื่อช่วงที่เหลือ 6 เดือนหลัง ธนาคารยังพยายามรักษาการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เช่นเดียวกับสินเชื่อในไตรมาสที่ 2 ที่ออกมายังอยู่ในระดับที่น่าพอใจอยู่ โดยขยายตัวได้ 2-3% อย่างไรก็ดี การขยายตัวของสินเชื่อใหม่อาจยังชะลออยู่ แม้จะมีบริษัทเข้ามาขอสินเชื่ออยู่บ้างแต่เป็นขนาดไม่ใหญ่ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังพอมีความต้องการสินเชื่อนั้น เป็นกลุ่มภาคบริการ เกษตรกลุ่มยางพารา หรือบริษัทที่ต้องการสินเชื่อเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรใหม่
ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ ต้องยอมรับว่าหนี้มีปัญหายังมีแนวโน้มเพิ่มได้อีก เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัวดีนัก ผลประกอบการของธุรกิจไม่ดี ยอดขายลดลง แม้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม แต่รายจ่ายยังคงอยู่ในอัตราเดิม ดังนั้น จะเห็นกลุ่มสินเชื่อรายย่อยและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มีปัญหาขาดสภาพคล่องหรือความสามารถในการชำระหนี้สะดุดไปบ้าง ส่วนสินเชื่อรายใหญ่จะถูกกระทบในบางสินค้า เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก อาจจะมียอดขายที่ตกลงลด
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันจะเห็นว่ารัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง โดยการออกมาตรการต่างๆ มาช่วยเหลือลูกค้า ซึ่งในส่วนของธนาคารกรุงเทพ ลูกค้ารายย่อยยังมีศักยภาพ เพราะเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน แต่การปล่อยสินเชื่ออาจจะมีความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น
*แบงก์เพิ่มระมัดระวังปล่อยกู้
ดังนั้น สัญญาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในภาพรวม แม้จะขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวล แต่เชื่อว่าทุกธนาคารให้ความระมัดระวังตัวเพิ่มมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ และที่ผ่านมาจะเห็นธนาคารพาณิชย์มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นทั้งระบบ เพื่อป้องกันหนี้เสียและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับธนาคารกรุงเทพที่มีการตั้งสำรองไว้รองรับในทุกๆ ไตรมาส แต่ในส่วนของตั้งสำรอง เป็นพิเศษอาจจะยังไม่มี เพราะมองว่าที่ตั้งสำรองฯ ไว้น่าจะเพียงพอแล้ว
" การชำระหนี้ตอนนี้อาจจะสะดุด หนี้เอ็นพีแอลอาจขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่น่ากลัว เชื่อว่าทุกแบงก์พยายามดูแลลูกค้าตัวเองเต็มที่อยู่แล้ว รวมทั้งรัฐบาลก็ให้ความช่วยเหลือเช่นกัน"
*สินเชื่อบุคคลซึมคนไม่ก่อหนี้
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย บมจ.ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อรายย่อยปีนี้ ชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับเผชิญปัญหาภัยแล้ง ทำให้รายได้เกษตรปรับตัวลดลง และความสามารถในการชำระหนี้อาจตึงตัว ซึ่งในส่วนการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารได้ปรับลดลง จากปี 2557 เคยเติบโตอยู่ที่ 20-30% ปัจจุบันคาดเป้าเติบโตจะลดลงจากปีก่อนเหลือเพียง 15-20%
ดังนั้นปีนี้ที่ธนาคารคาดจะปล่อยสินเชื่อรายย่อยใหม่เพิ่มที่ 2 หมื่นล้านบาท เป็นอัตราเติบโตที่ 15-20% อาจขยายตัวได้เพียง 1.8 หมิ่นล้านบาท หรือโตต่ำกว่า 10% โดยที่ยอดสินเชื่อคงค้างเป้าเติบโตอยู่ที่ 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท สิ้นปีเพิ่มเป็น 7.5-7.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ สินเชื่อที่อยู่อาศัยยังขยายได้ แต่สินเชื่อส่วนบุคคลอาจชะลอตัวเล็กน้อย จากเป้าเดิมอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท จะเหลือเพียง 6-7 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งสะท้อนความระมัดระวังมากขึ้นทั้งธนาคารและผู้กู้เห็นได้จากยอดขอสินเชื่อที่ลดลงเหลือเพียง 6-8พันรายการ จากปกติอยู่ที่ 1 หมื่นใบต่อรายการ ขณะที่ยอดการอนุมัติเฉลี่ยอยู่ที่ 30% ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะอนุมัติเฉลี่ย 50% อยู่ในระดับปกติ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,070 วันที่ 16 - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558