ญี่ปุ่นหนุนไทยสู่‘อุตฯไฮเทค’ ชี้รัฐพัฒนาได้จุดยืนต้องชัด

ทุนญี่ปุ่นพร้อมหนุนไทยข้ามผ่านประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ประธาน ITOCHU เผยพร้อมนำความเชี่ยวชาญที่มีมาเพิ่มขีดความสามารถในไทยได้ โปรยยาหอมทุนญี่ปุ่นผูกพันกับไทยมานานจนตัดกันไม่ขาด ด้านสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ที่ส่วนใหญ่เป็นทุนข้ามชาติ เผยการที่สถิติการลงทุนญี่ปุ่นในไทยเติบโตลดลงเป็นเรื่องปกติ ฝากภาครัฐต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในการพัฒนาฐานผลิตไทยไปสู่อุตสาหกรรมไฮเทค
นายเออีโซะ โคบายาชิ ประธานกรรมการบริหารบริษัท อิโตชู คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผย ในงานสัมมนา "ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเทศไทยกับการเป็นศูนย์กลางการผลิตสำคัญสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น ที่จัดโดยนิตยสารนิเคอิ บิสสิเนส ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เมื่อเร็วๆนี้ว่า ทุนญี่ปุ่นพร้อมหนุนไทยข้ามผ่านประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยทุนญี่ปุ่นทุกรายที่มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญด้านเทคโนโลยีสามารถมาเพิ่มขีดความสามารถในไทยได้ โดยยอมรับว่าไทยกับทุนญี่ปุ่นผูกพันกันมานานจนตัดกันไม่ขาด
"จะเห็นว่าเมื่อครั้งที่ทุนญี่ปุ่นในไทยเผชิญปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ปี2554 ก็ยังไม่หนีไปไหน ยังคงมีการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และเวลานี้ประเทศไทยก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับญี่ปุ่นที่เจอปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรไม่ให้โอเปอเรชันไหลไปที่อื่น หรือให้คงการทำงานร่วมกันไว้ได้"
ด้านดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวในฐานะตัวแทนบริษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรมดังกล่าวว่าส่วนใหญ่จะเป็นทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมานาน แสดงความเห็นกรณีที่ ขณะนี้ทุนจากญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีการเติบโตที่ลดลง(ดูตาราง)ว่า ไม่ใช่ปัญหา เพราะไม่มีอะไรในโลกที่เติบโตต่อเนื่อง เพราะเมื่อการลงทุนเดินไปถึงจุดหนึ่งแล้วก็ต้องหยุดโต หรือโตช้าลง ยกเว้นว่าไม่เกิดการลงทุนเลยจะน่าเป็นห่วงมากกว่า
นอกจากนี้การที่มีการลงทุนโดยทุนต่างชาติในไทยลดลงก็เพราะมีทางเลือกมากขึ้น บางอุตสาหกรรมฐานการผลิตไทยไม่เหมาะสมแล้วในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีสิทธิประโยชน์ดึงดูดมากกว่า ก็ทำให้นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้น เพียงแต่ไทยมีข้อได้เปรียบตรงที่ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยนานแล้ว และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ฝากภาครัฐว่า นโยบายของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในการพัฒนาฐานผลิตไทยให้ไปสู่อุตสาหกรรมไฮเทค โดยการใส่แรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการเป็นรายๆไป เพราะแต่ละอุตสาหกรรมมีความต้องการไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของอุตสาหกรรม จึงเป็นความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องออกมาสร้างความชัดเจนโดยหารือกับผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยพาคนไทยให้ก้าวข้ามค่าแรงระดับกลางไปให้ได้โดยไปสู่อุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยีมากขึ้น
อนึ่งสถิติ การขอรับการส่งเสริมการลงทุนสุทธิจากบีโอไอ เดือนมกราคม-พฤษภาคม 2558 เปรียบเทียบกับปี 2557 พบว่า มีตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 306 โครงการ จำนวนเงินลงทุนเพียง 48.25 พันล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2557 ที่มีจำนวนการขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากถึง 471 โครงการ และจำนวนเงินลงทุนมากกว่า 297.92 พันล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,068 วันที่ 9 - 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558