5ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลัง
แบงก์ชาติ-สศค.-สภาพัฒน์ยืนยันจีดีพีไทยยังขยายตัวได้ 3%
ภาคเอกชน นักวิชาการ ห่วงครึ่งหลังมี ปัจจัยเสี่ยงเขย่าไทย ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอก จากปัญหาการชำระหนี้ของกรีซ เฟดขึ้นดอกเบี้ย กระทบทั้งการค้าระหว่างประเทศ หวั่นลามเป็นลูกโซ่ ส่วนปัจจัยภายใน วิกฤติภัยแล้งหนักสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ภาคเอกชนรับมือความเสี่ยงครึ่งหลัง แนะบริหารความเชื่อมั่นในประเทศให้ได้ก่อนและชั่งนํ้าหนักเรื่องเร่งด่วนก่อนหลังกระตุ้นเศรษฐกิจ
หลังจากที่ภาครัฐออกมาประกาศความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังปี2558 จะเริ่มฟื้นตัวได้จากที่รัฐบาลเร่งผลักดันเมกะโปรเจ็กต์โครงสร้างพื้นฐาน โดยเร่งอัดฉีดงบประมาณลงระบบ สอดคล้องกับที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ออกมาตอกย้ำทิศทางเศรษฐกิจไทยเป็นระยะว่า เดือนกันยายนนี้จะเห็นสัญญาณการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)มีโอกาสกลับมาโตได้มากกว่า 4% ขณะที่อีกด้านนักวิชาการ และภาคเอกชนมองว่าในครึ่งปีหลังปี2558 ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงมากกว่าครึ่งปีแรก ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่อาจจะเป็นภัยคุกคามความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังโดยเฉพาะ 5 ปัจจัยเสี่ยงหลัก(ดูล้อมกรอบ)

-จับตาพิษปัจจัยเสี่ยงภายนอกลาม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ครึ่งปีหลังปี2558 จะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงมากกว่าครึ่งปีแรก โดยจะมีปัจจัยเสี่ยงที่มาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลักไล่ตั้งแต่ ปัญหาหนี้ของกรีซที่ไม่สามารถชำระหนี้ให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)ได้ตามกำหนดและมีโอกาสที่กรีซอาจจะหลุดพ้นจากยูโรโซนได้
จากปัญหาดังกล่าวจะกระทบเป็นภาพกว้าง เนื่องจากตลาดสหภาพยุโรป(อียู)เป็นคู่ค้ารายใหญ่ของจีนและญี่ปุ่น ถ้าเศรษฐกิจอียูชะลอตัวต่อเนื่อง ผลกระทบนี้จะลามถึงไทยและอาเซียนเนื่องจากที่ผ่านมาทั้งจีนและญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าหลักของไทยที่นำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งออกไปอียูอีกทอดหนึ่ง กลายเป็นปัญหาที่ลามเป็นลูกโซ่ เมื่อจีนและญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าจากไทยลดลง โดยเฉพาะจีนที่ปัจจุบันไทยส่งออกไปจีนมูลค่า 2.70 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ขณะที่ไทยนำเข้าจากจีนมูลค่า3.70หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ไทยยังขาดดุลอยู่ราว1หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนปัญหาทางด้านสถานการณ์การบินของประเทศไทยกับทางองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ICAO)ที่ยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติได้ในขณะนี้ จะทำให้ไทยถูกมองว่าระบบการบินไม่ได้มาตรฐานกระทบการบินเช่าเหมาลำนั้น จะสะเทือนถึงภาคท่องเที่ยวที่ขณะนี้เป็นพระเอกตัวเดียวในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เช่นเดียวกับการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง(เมอร์ส)ก็มีผลทางจิตวิทยาแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าการควบคุมไม่ให้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นหรือไม่
รวมถึงการจับตาการรายงานประจำปี เรื่อง สถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือTIP Report ที่สหรัฐอเมริกากำลังประเมินประเทศไทยในปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จะเป็นอีกความเสี่ยงหลังจากที่ไทยถูกกล่าวหาว่ามีกฎหมายเข้มงวดไม่ให้สื่อและประชาชนแสดงออกทางการเมือง หรือห้ามจับกลุ่มแสดงความเห็นทางการเมือง ส่วนเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม(ไอยูยู ฟิชชิ่ง) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องค้ามนุษย์ยังต้องจับตาดูว่าจะพ้นจากบัญชีกลุ่มที่ 3 (Tier 3) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีสถานการณ์ค้ามนุษย์ระดับเลวร้ายที่สุดหรือไม่ ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
-จีดีพีจีนต่ำสะเทือนถึงไทย
เช่นเดียวกับที่รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง เปิดเผยในเรื่องเดียวกันว่า ปัจจัยเสี่ยงปัญหาหนี้ของกรีซที่มีความเป็นไปได้ทั้งและเป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดพ้นจากยูโรโซน และหากหลุดพ้นก็จะทำให้ตลาดหุ้นทั้งโลกผันผวนหนัก แต่อัตราเติบโตของยุโรปยังขยายตัวได้ 1% เศษ เพราะกรีซมีปัญหาแบบจำกัดขอบเขต ซึ่งประเทศไทยก็จะได้รับผลกระทบด้วยในเรื่องความผันผวนของตลาดหุ้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้จะทำให้เกิดการไหลออกของเงินในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรเพื่อไปซื้อสินทรัพย์ที่เป็นดอลลาร์สหรัฐฯแทน ก็จะทำให้ตลาดหุ้นผันผวน ซึ่งขณะนี้จะเริ่มเห็นเงินไหลออกแล้ว รวมถึงปีนี้หากเศรษฐกิจภายในประเทศจีนขยายตัวได้ต่ำกว่า6-7% (ตั้งเป้าไว้7%) ก็จะมีผลกระทบมาถึงไทยด้วย เนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการส่งออกไปจีน หากจีนมีความต้องการใช้สินค้านำเข้าลดลง และจะกระทบได้
"ทั้ง3ปัจจัยเสี่ยงนี้ต้องจับตาดู โดยส่วนตัวเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวได้ในอัตรา3.2-3.5%ในปีนี้ โดยการส่งออกครึ่งปีหลังยังมั่นใจว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก ถ้ามองทั้งปีการส่งออกถ้าทำได้โต1%ก็ถือว่าเก่งแล้ว"
-ธปท.ให้น้ำหนักปัจจัยเสี่ยงตปท.
สอดรับกับรายงานนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) ฉบับเผยแพร่เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2558 ระบุถึงปัจจัยหลักที่ทำให้ ธปท. ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลดลงมาอยู่ระดับ 3 %จากเดิมที่อยู่ระดับ 3.8% (คำนวณตามวิธีการใหม่ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ใช้ มาจากภาคส่งออกที่คาดว่าจะติดลบ 1.5% ในปี2558จากเดิมที่คาดจะขยายตัว 0.8 %ตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ในกรณีฐาน 1. เศรษฐกิจจีนที่อาจชะลอตัวกว่าคาดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่อาจช่วยพยุงเศรษฐกิจได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้ 2. เศรษฐกิจอาเซียนที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนมากกว่าคาดและ 3. เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาดหากปัญหาการผิดชำระหนี้ของรัฐบาลกรีซสร้างความผันผวนในตลาดเงินและบั่นทอนความเชื่อมั่นของภาคเอกชน
ส่วนประเด็นสถานการณ์ประเทศกรีซ นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เท่าที่ทราบข้อมูลล่าสุดยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาซึ่งอาจจะไม่สำเร็จเหมือนที่ผ่านมาโดยยังมีการเจรจาต่อรองซึ่งอาจจะมีเวลาต่ออีกถึงสิ้นเดือนมิถุนายนซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีเงินจ่ายโดยจะมีผลทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินแต่เชื่อว่าตลาดเองก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วอีกทั้งอาจจะส่งผลให้มีเงินไหลออกจากกรีซค่อนข้างมากแต่จะไม่ได้นำไปสู่การออกจากยูโรโซนเนื่องจากไม่ได้มีเงื่อนไขกำหนดไว้ว่าหากรัฐบาลกรีซเกิดการผิดนัดชำระหนี้แล้วจะต้องออกจากยูโรโซน
"หากจะดูว่ากรีซจะออกจากยูโรโซนหรือไม่จะต้องดูทั้ง2ด้านโดยประชาชนของกรีซเองก็ไม่ต้องการที่จะออกเพราะการอยู่ในยูโรปเป็นผลดีมากกว่าอีกทั้งไม่ได้มีกลไกของยูโรปที่จะให้กรีซออกหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้เพราะฉะนั้นเมื่อดูทั้ง2ด้านแม้ว่ากรีซจะไม่ได้ชำระหนี้แต่ก็คงจะอยู่ในกลุ่มของยูโรต่อไปซึ่งคงจะต้องหาวิธีอื่นในการที่จะดำเนินการต่อไป ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยก็คงจะมาทางด้านของตลาดเงินก่อนโดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยก็คงจะต้องดูว่าด้วยเหตุดังกล่าวจะทำให้คู่ค้าของไทยแย่ลงมากน้อยเพียงใดทั้งในส่วนของยูโรและสหรัฐฯ"
ทั้งนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ประเมิน จีดีพี ปีนี้โต 3.7%ขณะที่สภาพัฒน์ฯคาดว่าจะขยายตัว3%
-ภัยแล้งปัจจัยเสี่ยงภายในหนักสุด
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่านอกปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกหลายเรื่องมั่นใจว่าภาครัฐรับมือได้ทั้งเรื่องICAO เฟดขึ้นดอกเบี้ยไตรมาส3หรือ4 ก็ไม่น่ากระทบเพราะภาคเอกชนมีการรับรู้ปัญหานี้มาระยะหนึ่งแล้ว มีนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมาจากตลาดหลักทรัพย์ฯมาเป็นเดือนแล้ว โดยรวมแล้วยังไม่กังวลเท่ากับปัจจัยเสี่ยงภายใน อย่างปัญหาภัยแล้ง ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 10 ที่ชาวนาไม่สามารถทำนาปรังได้ จะทำให้รายได้ของชาวนาลดลงอีก จากที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากราคาข้าวอยู่แล้ว รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตรอื่นๆได้รับผลกระทบด้วยในแง่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ภาครัฐจะต้องหามาตรการช่วยเหลือให้ถึงที่สุด เพราะเป็นกลุ่มประชากรที่มีอยู่จำนวนมาก
"อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2558น่าจะปรับตัวดีขึ้นภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมจากนี้ไป คาดว่าจะมีทิศทางเป็นบวกมากขึ้น เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยเข้ามาสนับสนุน ไม่ว่าราคาสินค้าเกษตรบางตัวเริ่มดีขึ้น อาทิ ยางพาราและปาล์ม"
-ลามตลาดอสังหาฯอาจติดลบ
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งหลังปีนี้ว่า ตลาดยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยง ทั้งปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคเกษตร ยังทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่ได้คุณภาพและปริมาณที่ต้องการ ขณะที่ราคาขายก็ตกต่ำ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับตลาดอสังหาฯต่างจังหวัด ผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณภาวะเงินฝืดในบางจังหวัด ดังนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าตลาดอสังหาฯต่างจังหวัดในครึ่งหลังปี 2558 จะมีอัตราการเติบโตติดลบมากกว่า 10% ในส่วนของตลาดอสังหาฯกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยังอยู่ในระดับทรงตัวต่อเนื่องจากครึ่งแรกปี 2558 เนื่องจากมีภาคธุรกิจอุตสาหกรรมช่วยขับเคลื่อนตลาด
-ภาคผลิตแห่ฝ่าวิกฤติพ้นปีนี้
ด้านนายวีรศักดิ์ เลอวิศิษฐ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ส.อ.ท. กล่าวว่าในปลายปีนี้หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยกลุ่มอัญมณีจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบก่อนในแง่การลงทุนและจิตวิทยาของผู้ซื้อ เพราะเป็นสินค้าที่ทุกคนมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ดังนั้นการทำธุรกิจในครึ่งปีหลัง สมาชิกในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับจะต้องมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในประเด็นปัญหามากขึ้น เพราะเวลานี้จะขยับตัวโดยหาตลาดใหม่ก็ไม่ง่ายเพราะมีหนี้สูญ หนี้เสียมาก พอไม่ออกไปขยายตลาดคู่แข่งขันก็แซงหน้า เวลานี้ผู้ประกอบการไม่หวังว่าตลาดปีนี้จะเติบโตขึ้น แต่หวังว่าจะรักษาระดับมูลค่าส่งออกทองและอัญมณีทั้งระบบไว้ได้ที่ 3 แสนล้านบาท โดยจะได้ตลาดจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)มาช่วยอีกทาง
ด้านนายมิ่งพันธ์ ฉายาวิจิตรศิลป์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ครึ่งปีหลังกลุ่มรองเท้าต้องวิ่งหาออร์เดอร์มากขึ้นรวมถึงลูกค้ามีการเจรจาต่อรองราคาถี่ขึ้น โดยผู้ประกอบการต้องยอมถอยออกมา 1 ก้าวจากที่เคยทำกำไรได้20% ก็ลดลงมาเหลือ 10-15% เพื่อให้คู่ค้าพอใจและผู้ผลิตก็อยู่ได้ นอกจากนี้จะเป็นการพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเพื่อหนีตลาดรองเท้าราคาถูก จึงคาดว่าโดยรวมปีนี้ทั้งปีจะมีมูลค่ารวมตลาดส่งออกรองเท้าโตประมาณ5% จากที่มีมูลค่าส่งออกต่อปีราว 3 หมื่นล้านบาท
นายวัลลลภ วิตนากร ประธานกรรมการ ไฮ-เทคกรุ๊ป หนึ่งในผู้ผลิต และส่งออกเครื่องนุ่งห่ม(การ์เมนต์) รายใหญ่ มีตลาดหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป(อียู)ประมาณตลาดละกว่า 47% ใกล้เคียงกันที่เหลืออีก 5% เป็นตลาดญี่ปุ่น กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะเศรษฐกิจของอียูที่ยังชะลอตัวอาจกระทบต่อการส่งออก จึงต้องปรับแผนธุรกิจการหาตลาด และลูกค้ารายใหม่ๆ และขยายฐานการผลิตไปยังลาวและกัมพูชา ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าในไทยเพื่อตอบสนองลูกค้ายุโรปที่ทั้งลาวและกัมพูชายังได้สิทธิจีเอสพีจากอียู รวมถึงเราได้ลงทุนในเวียดนามเพื่อใช้เป็นฐานส่งออกรองรับความตกลงเอฟทีเอเวียดนาม-สหภาพยุโรป และความตกลงทีพีพีที่มีสหรัฐฯเป็นแกนนำและมีเวียดนามเป็นสมาชิกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต"
-ค้าปลีกประเมินครึ่งหลังยาก
นายชำนาญ เมธปรีชากุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ปฯ ผู้บริหารเดอะ มอลล์ , ดิ เอ็มโพเรียม และพารากอนดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ กล่าวว่ามีแผนเตรียมพร้อมในการรับมือผลกระทบที่เกิดจากไวรัสเมอร์ส เพราะมีประสบการณ์ทั้งโรคซาร์ส และไข้หวัดนก ทำให้เชื่อมั่นว่าจะรับมือได้ และคาดว่าภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในปีนี้จะเติบโตได้ราว 5% โดยครึ่งปีหลัง ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ และยังประเมินถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิกฤติน้ำแล้ง หรือเศรษฐกิจโลก"
-แนะรัฐบริหารความเชื่อมั่นก่อน
สำหรับทางออกในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้นนั้น รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่าจากปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแง่ภาครัฐ การจะปลุกเศรษฐกิจภายในให้ฟื้นตัวได้จะต้องบริหารความเชื่อมั่นภายในประเทศให้ได้ก่อน โดยโฟกัสไปที่ลำดับความสำคัญก่อนหลังด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการแก้ปัญหาภาคเกษตรที่กำลังรับศึกหนักกับปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตเสียหาย ที่ภาครัฐต้องร่วมมือเพราะเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ส่วนการค้าต่างประเทศการขยับตัวเป็นบวกคงเป็นเรื่องยาก ขอแค่รักษาระดับไม่ให้ติดลบ ส่วนการลงทุนที่ผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ภาครัฐต้องกระตุ้นให้รีบลงทุนจริง และลงไปดูว่าอะไรที่ทำให้นักลงทุนยังลังเลอยู่ในขณะนี้
5 ปัจจัยเสี่ยงคุกคามเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง
1. กรีซมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) 1,500 ล้านยูโร ( ราว 5.6 หมื่นล้านบาท) ปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหภาพยุโรปผันผวนและโยงไปยังเศรษฐกิจโลก
2. ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยปลายปีนี้ มีผลให้เงินทุนไหลกลับกระตุ้นให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น และตลาดเงินตลาดทุนอาจผันผวน
3. ใกล้ถึง เส้นตาย 6 เดือน ที่สหภาพยุโรป(อียู) การแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายต้องคืบหน้า หลังให้ใบเหลืองไทย โดยอ้างว่าไทยไม่ให้ความร่วมมือแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย หรือ ไอยูยู เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
4. องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ไอซีเอโอ) ติดตามความคืบหน้าในการแก้ปัญหามาตรฐานความปลอดภัย ด้านการบินของไทยหลังขึ้นธงแดงเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา
5. ภัยแล้ง ปัญหาฝนตกช้ากว่ากำหนดทำให้ที่นาที่ราบลุ่มภาคกลาง 22จังหวัด รวมพื้นที่กว่า 13 ล้านไร่ มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,064 วันที่ 25 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558