ส.อ.ท.ชี้เศรษฐกิจครึ่งหลังฟื้น
งบภาครัฐขยับ/ยอมรับ 5 เดือนแรกความเชื่อมั่นทรุด
ส.อ.ท.ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นครึ่งหลังปี 2558 เริ่มปรับดีขึ้น พอมองเห็นสัญญาณเศรษฐกิจฟื้น หลังจากความเชื่อมั่นปรับตัวติดต่อกัน 5 เดือน ขณะที่การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐและโครงการเมกะโปรเจ็กต์เริ่มทยอยออกมา ส่วนการท่องเที่ยวยังคึกคัก "สุพันธุ์" เผยเตรียมหารือที่ประชุม กกร. ต้นเดือนกรกฎาคมนี้ พิจารณาปัญหาค่าแรงปีหน้า หนุนไตรภาคีพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำแต่ละจังหวัด

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2558 น่าจะปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะยังคงสูงกว่า 100 เนื่องจากมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว การใช้งบประมาณของภาครัฐช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งโครงการเมกะโปรเจ็กต์ก็เริ่มทยอยออกมา นอกจากนี้ภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยดีขึ้น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 100.9 ลดลงจากระดับ 102.1 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะชะลอตัว เห็นได้จากค่าดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 2558 ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 5 โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 85.4 จากระดับ 86.2 ในเดือนเมษายน ถือว่าต่ำสุดในรอบ 12 เดือน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับปัญหาภัยแล้งที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตร
นอกจากนี้ภาวะการแข่งขัน และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงความกังวลต่อการที่สหภาพยุโรป(อียู) ให้ใบเหลืองไทย กรณีการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย(ไอยูยู) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าประมงและอาหารทะเลกระป๋อง และอาหารแปรรูป ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาอ่อนค่าลง 3% เป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการส่งออก
"ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมจากนี้ไป น่าจะมีทิศทางเป็นบวกมากขึ้น เนื่องจากยังมีหลายปัจจัยเข้ามาสนับสนุน ไม่ว่าราคาสินค้าเกษตรบางตัวเริ่มดีขึ้น อาทิ ยางพาราและปาล์ม ทำให้ภาคใต้เริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมองว่าบทบาทของภาครัฐจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาวะที่กำลังซื้อชะลอตัว ขณะที่โครงสร้างการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบันไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในต่างประเทศ
นายสุพันธุ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ โดยต้องการให้ภาครัฐมีการส่งเสริมให้โครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อจูงใจให้เข้าสู่ระบบภาษี และขยายฐานภาษีให้กับประเทศ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรในการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพื่อทดแทนการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงหามาตรการเร่งพัฒนามาตรฐานสินค้าไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก
ส่วนปัญหาภัยแล้งยังเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคเกษตรกรรมและการบริโภคภายในประเทศ ดังนั้นรัฐบาลควรต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว ส่วนปัญหาการท่องเที่ยวเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากโรคไวรัสเมอร์ส เพราะไทยมีการดูแลและดำเนินการชัดเจนไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดได้
สำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ จะมีการหารือเรื่องการปรับค่าแรงขั้นต่ำ จากปัจจุบันอยู่ที่ 300 บาททั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าส่งผลทบต่อต้นทุน ซึ่งยืนยันว่าแรงงานฝีมือของไทยได้รับการปรับขึ้นทุกปี และที่ผ่านมาก็ส่งผลไปยังแรงงานต่างชาติด้วย ดังนั้นจะมีการเสนอเพื่อให้ไตรภาคีมีส่วนร่วมในการกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็นรายจังหวัดไม่ใช่เหมารวมทั้งประเทศ รวมทั้งต้องพิจารณาถึงอัตราเงินเฟ้อประเทศเป็นหลักด้วย นอกจากนี้จะมีการประชุมเพื่อสรุปประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศ(จีดีพี) และการส่งออกของไทยอีกครั้ง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,064 วันที่ 25 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558