นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม กนพ. มีมติสำคัญ 7 เรื่องขับเคลื่อนงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม-เตรียมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป

วันที่่ 25 มิ.ย.58 เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ 3/2558 ร่วมกับรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ภายหลังการประชุม ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุม กนพ. มีมติที่สำคัญ 7 เรื่อง ในการขับเคลื่อนงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเตรียมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป ดังนี้
1. เห็นชอบกิจการเป้าหมายรายพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 2 ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย เชียงราย กาญจนบุรี นครพนม ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ระดับสูงตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ 4/2557 โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) นำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (กกท.) พิจารณาและออกเป็นประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนต่อไป ซึ่งกิจการที่ให้ส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจพิเศษทั้งระยะที่ 1 ระยะที่ 2 มีรวม 13 ประเภท โดยแต่ละพื้นที่มีเกณฑ์การคัดเลือกในเรื่องอุตสาหกรรมหรือกิจการเป้าหมายแตกต่างกันไปตามศักยภาพของพื้นที่ สำหรับในกรณีของนราธิวาสใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับภายใต้เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ ขอให้แต่ละจังหวัดเตรียมการให้พร้อมเพื่อรองรับการลงทุนด้วย
2. เห็นชอบการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยผ่อนปรนเงื่อนไขสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อาทิ ลดเงินลงทุนขั้นต่ำจาก 1 ล้านบาท เหลือ 5 แสนบาท อนุญาตให้นำเครื่องจักรที่ใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้มีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ส่วนการตีมูลค่าของเครื่องจักรจะตีมูลค่าตามบัญชีที่เหลือ หักค่าเสื่อมของเครื่องจักรให้ตามความเป็นจริง และมอบหมาย สกท. นำเสนอ กกท. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร และสำนักงบประมาณทบทวนแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร ตามลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน และความพร้อมของโครงการ สำหรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกและระยะที่ 2 โดยกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดที่ชัดเจน
โดยในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร นายอาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2558 รวม 35 โครงการ วงเงิน 2,405 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ ส่วนการจัดสรรงบประมาณให้กับเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร ในปี 2559 มีวงเงิน 1,196 ล้านบาท ที่ประชุมได้ให้ไปจัดลำดับความสำคัญใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความเร่งด่วนกับเรื่องของโอกาสการค้าการลงทุนในบริเวณชายแดน พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบการขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในปี 2559 รวม 175 ล้านบาท สำหรับ 1. การปรับปรุงอาคารด่านพรมแดนคลองลึก จ. สระแก้ว วงเงิน 50 ล้านบาท 2. แก้ไขปัญหาจราจรบริเวณชายแดนบ้านคลองลึก โดยเฉพาะการก่อสร้างลานตรวจสินค้าเอ็กซเรย์ วงเงิน 115 ล้านบาท 3. การปรับปรุงด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ในการติดตั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 10 ล้านบาท
4. เห็นชอบการจัดสรรที่ดินให้หน่วยราชการใช้ประโยชน์ และให้เอกชน และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเช่าในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก สระแก้ว มุกดาหาร ตราด สงขลา และหนองคาย ทั้งนี้ สำหรับสงขลาให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้ดำเนินการ โดยนำแนวทางการพัฒนาพื้นที่ ซึ่ง จ.สงขลาและภาคเอกชนจัดทำไว้มาประกอบการดำเนินงาน และประสาน ปปง. ให้เร่งรัดการส่งมอบพื้นที่ต่อไป และมอบหมายให้อนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการและกระทรวงการคลังทบทวนหลักเกณฑ์การจัดให้เช่าที่ดิน การกำหนดอัตราค่าเช่า และผลประโยชน์ตอบแทนการเช่าที่ดินราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อเสนอ กนพ. พิจารณาต่อไป
5. มอบหมายสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาเปิดจุดผ่านแดน ณ พื้นที่ บ.ป่าไร่ จ.สระแก้ว และช่องอานม้าจ.อุบลราชธานี โดยนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) และเร่งดำเนินการสำรวจรายละเอียดภูมิประเทศ (Joint Detail Survey) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
6. มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (มท.) สกท. และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พิจารณาแนวทางการดำเนินงานศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ให้การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้อมูลเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
7. มอบหมายอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการ พิจารณากำหนดพื้นที่สำหรับนำมาใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 และมอบหมายกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำเนินการเพื่อถอนสภาพที่ดินของรัฐประเภทต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กรมธนารักษ์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่มีการถอนสภาพแทนเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่อไป
นายอาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ จังหวัดยะลาโดยเทศบาลอำเภอเบตง ได้นำเสนอให้รัฐบาลพิจารณา 2 เรื่องคือ 1. ขอให้ประกาศให้เบตงเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ 2. ให้มีการพัฒนาสนามบินเบตง ซึ่งในเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ นั้น ยังไม่อยู่ในกรอบนโยบายที่จะประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่ทั้งนี้ ไม่อยากให้กังวลว่าจะเป็นหรือไม่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยพื้นที่ใดที่ไม่ได้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษตามประกาศของ กนพ. นั้น รัฐบาลก็ให้ความสำคัญในการเข้าไปดูแลเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่ง อ.เบตง ก็เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและให้งบประมาณในการพัฒนาผ่าน ศอ.บต. อยู่แล้ว สำหรับเรื่องสนามบินเบตง อยู่ในขั้นตอนการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการก่อสร้างสนามบินเบตง ที่ขณะนี้มีการเตรียมพร้อมเรื่องพื้นที่และผ่าน EIA เรียบร้อยแล้ว