กรมการค้าภายในคุมเข้มแจ้งโรงงานผู้ผลิต-ผู้จำหน่ายให้รายงานราคาเหล็กในตลาดรายวัน หลังได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มผู้ใช้ว่า ผู้ผลิตเหล็กฉวยโอกาสขึ้นราคา จากมาตรการ AD+Safeguard สกัดเหล็กนอกประเทศทุ่มตลาด แต่ความเป็นจริงกลับสวนทางกัน เมื่ออุตสาหกรรมเหล็กขั้นกลางในประเทศตกอยู่ในภาวะต้องลดกำลังผลิต-ความต้อง การใช้ถดถอย ส่งผลราคาเหล็กรีดร้อนปรับลดราคาลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่าต้นทุนการผลิต
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) ได้เรียกกลุ่มผู้ผลิตและผู้ประกอบการ กลุ่มเหล็กสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ (ส.อ.ท.) ประมาณ 30-40 รายเข้าหารือ หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร กับกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ ที่ว่ามีการปรับขึ้นราคาเหล็กของผู้ประกอบการเหล็กขั้นกลางบางราย
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติจัดให้สินค้าเหล็กเป็นสินค้าอ่อนไหว (Sensitive List) และกำหนดให้ผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรายงานราคาจำหน่ายเหล็กตั้งแต่ต้นทาง-ปลายทางให้กรมการค้าภายในรับทราบทุกวันจากเดิมที่สินค้าเหล็กเป็นสินค้าในบัญชีควบคุม 42 รายการที่ยังอยู่ในบัญชีต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Piority Watch List) ซึ่งหมายถึง การติดตามสถานการณ์ราคาทุก 2 สัปดาห์ โดยกรมการค้าภายในได้ให้เหตุผลว่า หลังจากการประกาศมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping หรือ AD) กับมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) ในกลุ่มสินค้าเหล็กนำเข้าหลายประเภท มีผลทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเหล็กเหล่านี้สูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อราคาภายในประเทศ ดังนั้นเพื่อการดูแลราคาสินค้าเหล็กให้มีความเป็นธรรม หากมีการปรับราคาสินค้าอย่างไม่เหมาะสม กรมการค้าภายในพร้อมจะใช้มาตรการทางกฎหมายเข้ามาดูแล
"ปัจจุบันราคาสินค้าเหล็กไม่ได้มีราคาแนะนำ แต่การที่ไทยใช้มาตรการ AD+Safeguard มีผลกระทบต่อต้นทุนการนำเข้าเหล็ก ซึ่งมีผลต่อต้นทุนราคาภายในประเทศ จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการรายงานราคาสินค้า ซึ่งเรายังไม่ได้ใช้มาตรการควบคุมราคาจึงไม่ได้มีผลและบทลงโทษอะไร เพียงแต่ต้องการให้ราคาสินค้าเหล็กเกิดความเป็นธรรม" นายบุณยฤทธิ์กล่าว
อย่างไรก็ตามเป็นที่เข้าใจกันดีว่า กรมการค้าภายในมุ่งให้ผู้ประกอบการเหล็กขั้นกลางรายงานราคาจำหน่ายทุกวันโดยจะครอบคลุมบริษัทผู้ผลิตเหล็กรีดร้อน-รีดเย็นไม่ว่าจะเป็นบริษัทสหวิริยาสตีล อินดัสตรี, บริษัทจี สตีล-จี เจ สตีลและบริษัทเหล็กแผ่นรีดเย็น รวมไปถึงกลุ่มผู้ผลิตเหล็กเคลือบ แต่กลุ่มผู้ค้าเหล็กยังคงมีปัญหาว่าจะให้แจ้งราคาเหล็กประเภทใดเพราะมีความแตกต่างกันเรื่องของขนาดและคุณสมบัติมากมาย(สเป็กเหล็ก) ดังนั้นการจะเข้าไปตรวจสอบหรือควบคุมยังทำได้ยาก
สำหรับสถานการณ์เหล็กภายในประเทศขณะนี้ แหล่งข่าวจากวงการค้าเหล็กเปิดเผยว่า อุตสาหกรรมนี้กำลังอยู่ในภาวะขาด Supply และไม่มี Demand สืบเนื่องมาจากโรงผลิตเหล็กรีดร้อน-รีดเย็นในประเทศขาดสภาพคล่อง และถูกธนาคารเจ้าหนี้คุมเข้มในการผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "Slab" ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเหล็กรีดร้อน นั่นหมายความว่าบริษัทไม่มีอิสระในการนำ Slab มารีดจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากธนาคารเจ้าหนี้
"ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ใครต้องการเหล็กรีดร้อนจะต้องนำเงินมาวางไว้กับโรงงานก่อน โรงงานจึงจะรีดให้ในภายหลังส่งผลให้มีเหล็กแผ่นรีดร้อนออกมาสู่ตลาดน้อยมาก สอดคล้องกับกำลังการผลิตที่ลดลง ซึ่งในภาวะแบบนี้เหล็กรีดร้อนควรจะต้องปรับขึ้นราคาจำหน่าย แต่ความจริงกลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม เพราะเหล็กแผ่นรีดร้อนในตลาดลดราคาจำหน่ายลงมาอย่างต่อเนื่อง จากสาเหตุกำลังซื้อในประเทศถดถอยลง และมีการนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาในตลาดมาก"
ด้านนายนาวา จันทนสุรคน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายกิจการสาธารณะและความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ"ว่า บริษัทพร้อมให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายในที่ขอให้จำหน่ายเหล็กในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุน แต่ทางบริษัทได้ชี้แจงถึงสถานการณ์ราคาเหล็ก ภายหลังที่ยื่นคำร้องให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาออกมาตรการ AD กับสินค้าเหล็ก 3 รายการ และขอใช้ Safeguard กับสินค้าเหล็ก 2 รายการว่า ราคาเหล็กรีดร้อนขณะนี้ปรับลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือปรับลดจาก กก.ละ 22 บาทเหลือ กก.ละ 16 บาท จนอาจเรียกว่าตอนนี้ต้องจำหน่ายในราคาต่ำกว่าต้นทุน
"ข้อมูลความต้องการใช้เหล็กทุกประเภทในประเทศ ปีนี้จะเพิ่มขึ้นจาก 17 เป็น 18 ล้านตันต่อปี แต่สัดส่วนการใช้เหล็กนำเข้าก็ยังคงมีปริมาณมากกว่าการใช้เหล็กในประเทศ จึงทำให้ผู้ผลิตภายในประเทศต้องลดกำลังการผลิตลงเรื่อยมานับจากปีที่ก่อนฟ้อง AD/Safeguard ฉบับแรกเคยมีกำลังการผลิต 50% ของกำลังการผลิตของบริษัท แต่ปีนี้กำลังการผลิตเพียงแค่ 30% ในปีนี้ ส่วนการออกมาตรการให้รายงานราคาเหล็กทุกวันนั้น เท่าที่ทราบจากที่ประชุมกรมการค้าภายใน มีผู้ใช้เหล็กบางรายที่มีปริมาณการใช้อยู่ที่ประมาณ 20-30 ตันต่อปี แต่ซื้อขายผ่าน "คอยล์เซ็นเตอร์" ไม่ใช่ซื้อจากทางผู้ผลิต ทำให้มีระดับราคาสูงกว่าเพราะมีการบวกกำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% จากปกติ" นายนาวากล่าว