สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ธปท.ชี้ ศก. เสี่ยงฟื้นตัวช้าเหตุแรงส่งไตรมาส 2 ยังแผ่วลง
04/06/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ธปท.ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจมีความเสี่ยงฟื้นตัวช้าจากอุปสงค์ที่ลดลง ระบุภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 2 แผ่วลงกว่าเดิมจากที่คาดการณ์ ภาคครัวเรือน ยังคงค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย เนื่องจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน / ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มติดลบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

นางรุ่ง  มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า แนวโน้มของเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่อุปสงค์จะมีการฟื้นตัวช้าไปอีกระยะหนึ่ง  โดยจะเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ และเปราะบาง เนื่องจากในระยะหลังปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นการลงทุนขนาดเล็ก ถือว่าทำได้เร็วและกระจายเงินลงสู่ภูมิภาคได้เร็ว  แต่หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วน่าจะมาจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่มาจากการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐมากกว่า  ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจมีการลงทุนตามมา  อย่างไรก็ดีในไตรมาส 2/2558  เชื่อว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะเป็นไปในรูปแบบกับในไตรมาส1/2558 ซึ่งมีการฟื้นตัวอย่างช้าๆ

"จากภาพรวมเศรษฐกิจดังกล่าวทางด้านของการฟื้นตัว  เชื่อว่าจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ทั้งปี 2558 ต่ำกว่า 3.8% แน่นอน แต่จะเป็นระดับที่เท่าใดคงต้องรอการประเมินที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง  โดยแรงส่งของเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะลดลงในไตรมาสที่ 2  ซึ่งแผ่วลงกว่าเดิมจากที่คาดการณ์ไว้  ขณะที่ภาคการส่งออกก็มีโอกาสติดลบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน"

สำหรับภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนเมษายนนั้น ภาพรวมทั้งภาครายได้ รวมถึงการใช้จ่ายภาคเอกชน หรือภาคการผลิตยังคงอยู่ในภาวะที่ทรงตัวอยู่ เมื่อบวกกับจีดีพีไตรมาสที่ 1/2558 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ที่ระดับ 0.3% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส  ถือว่าการฟื้นตัวยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ และยังมีความเปราะบางอยู่

ในส่วนของภาครัวเรือนนั้น ยังคงค่อนข้างระมัดระวังเรื่องของการใช้จ่ายเนื่องจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน  ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงและซ่อมแซมเครื่องจักร ซึ่งจะใช้สินค้าทุนภายในประเทศทำให้การขยายกำลังการผลิตยังไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าใดนัก โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา  ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวหน่วงคือทางด้านของสินค้าคงทน  รวมถึงรายได้ภาคเกษตรที่ยังคงถูกกดดันต่อเนื่อง  โดยติดลบ 19.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา  ขณะที่รายได้นอกภาคเกษตรที่ก่อนหน้านี้มีทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่อง  แต่ในระยะหลังมีอาการที่แผ่วลงไป

"เท่าที่สำรวจข้อจำกัดในการทำธุรกิจพบว่ามาจากข้อจำกัดของความต้องการในประเทศที่ต่ำลง  ทำให้การลงทุนมีน้อย  จนกว่าเศรษฐกิจในประเทศจะฟื้นตัวกลับมา อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังเอื้อการลงทุนคือเรื่องของต้นทุนทางการเงิน หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นมีการปรับตัวลดลง รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลง  และการขยายตัวของสินเชื่อที่มีการปรับขึ้นเล็กน้อย"

ด้านการส่งออกยังคงอยู่ในภาวะที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง โดย 4 เดือนที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกยังคงติดลบอยู่ โดยเดือนเมษายนอยู่ที่ระดับ 1.67 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือหดตัว 1.7% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุมาจากเรื่องของราคาน้ำมันของโลกที่ปรับตัวลดลง รวมถึงอุปสงค์ของตลาดอาเซียนมีการซบเซาลงเพิ่มเติม จากผลของการชะลอตัวตามเศรษฐกิจของจีน  อีกทั้งยังมีเรื่องของอุปสงค์ที่ลดลงจากความนิยมในกระแสโลก  ซึ่งสินค้าของไทยไม่สามารถเกาะกระแสได้ เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และเรื่องสิทธิทางภาษี  หรือจีเอสพี  ที่หมดลง  ส่วนการนำเข้าเดือนเมษายนมีมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  โดยติดลบ 9.1% จากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากเรื่องของราคาน้ำมัน

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 1.04% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.02% โดยปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อแผ่วลงมาจากเรื่องของน้ำมัน และราคาพลังงานของโลก รวมถึงภาคของอาหารสดที่ราคาลดลงจากอุปทานที่ล้นตลาดและอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง โดยการคาดการณ์เงินเฟ้อมีอาการแผ่วลง  อย่างไรก็ดีประชาชนทั่วไปยังมองว่าเงินเฟ้อในระยะ 1 ปีข้างหน้าน่าจะอยู่ที่ระดับ 1-3% สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายการเงิน

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายเดือนเมษายนยังคงเกินดุลจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ทำได้ค่อนข้างดี  จากธุรกิจที่ปรึกษาทางธุรกิจ  ยานยนต์  ค้าปลีก  ค้าส่ง  จากสิงคโปร์ สหรัฐฯ  และแคนาดา  รวมถึงเรื่องของสินเชื่อจากการปรับฐานนะของสถาบันการเงินในประเทศในการกู้เงินมาเพื่อทำธุรกรรมการป้องกันความเสี่ยงเรื่องของค่าเงินในส่วนของเงินตราต่างประเทศ  และการได้รับชำระสินเชื่อทางการค้า

"ภาพรวมดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลจากการที่ส่งออกยังสูงกว่าการนำเข้า อีกทั้งดุลบัญชีรายได้และเงินโอนที่เป็นลบจากการนำส่งกำไรของบริษัทญี่ปุ่นในไทยกับบริษัทแม่  โดยรวมดุลบัญชีการชำระเงินเกินดุลอยู่ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเนื่องเป็นเดือนที่4"

ทั้งนี้ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน  หลังจากที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยลง และการผ่อนคลายเกณฑ์เงินทุนเคลื่อนย้าย(29,30เม.ย.58) ส่งผลให้ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯมีทิศทางอ่อนค่าลงส่วนใหญ่จากการที่นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตรในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย ตามความกังวลต่อภาวะตลาดเงินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยตั้งแต่เมษายนถึงวันที่ 22พฤษภาคมความผันผวนของค่าเงินปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5%สูงกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคมที่ 3.7%และค่าเฉลี่ยปี 2557ที่ 4%  ส่วนดัชนีค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับในภูมิภาคถือว่าอ่อนค่าลงตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาค

ทั้งนี้ ในระยะสั้นอาจไม่มีปัจจัยใดที่จะมาชดเชยด้านการส่งออก แต่ระยะข้างหน้ามองว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีทิศทางที่ดีขึ้น  ทั้งจากสหรัฐฯ  อียูและญี่ปุ่น  ซึ่งจะสามารถช่วยประคองการส่งออกไปได้ระดับหนึ่ง  แต่ต้องยอมรับว่าภาคการส่งออกอาจจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจน้อยลง  เนื่องจากการค้าโลกโตช้ากว่าเมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนกับจีดีพีโลก โดยไทยคงต้องพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น  รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่จะต้องทำให้ดีอย่างต่อเนื่อง  แต่คงไม่มีภาคส่วนใดที่จะเข้าไปทดแทนการส่งออกได้อย่างเต็มที่

"ภาคที่ยังช่วยพยุงเศรษฐกิจอยู่เป็นเรื่องของการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของภาครัฐที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเรื่องของภาคการเงินที่จะเห็นว่าต้นทุนของการระดมทุนของภาคเอกชนลดลงบ้าง  และเสถียรภาพโดยรวมยังอยู่เกณฑ์ดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยภาคการท่องเที่ยวเดือนเมษายนขยายตัวได้ 18.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา  หากมองไปข้างหน้าแนวโน้มของการท่องเที่ยวยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,057
 วันที่ 31  พฤษภาคม - 3 มิถุนายน  พ.ศ. 2558

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.