ธปท.ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจมีความเสี่ยงฟื้นตัวช้าจากอุปสงค์ที่ลดลง ระบุภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 2 แผ่วลงกว่าเดิมจากที่คาดการณ์ ภาคครัวเรือน ยังคงค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย เนื่องจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน / ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มติดลบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า แนวโน้มของเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่อุปสงค์จะมีการฟื้นตัวช้าไปอีกระยะหนึ่ง โดยจะเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ และเปราะบาง เนื่องจากในระยะหลังปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นการลงทุนขนาดเล็ก ถือว่าทำได้เร็วและกระจายเงินลงสู่ภูมิภาคได้เร็ว แต่หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วน่าจะมาจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่มาจากการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐมากกว่า ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจมีการลงทุนตามมา อย่างไรก็ดีในไตรมาส 2/2558 เชื่อว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะเป็นไปในรูปแบบกับในไตรมาส1/2558 ซึ่งมีการฟื้นตัวอย่างช้าๆ
"จากภาพรวมเศรษฐกิจดังกล่าวทางด้านของการฟื้นตัว เชื่อว่าจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ทั้งปี 2558 ต่ำกว่า 3.8% แน่นอน แต่จะเป็นระดับที่เท่าใดคงต้องรอการประเมินที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง โดยแรงส่งของเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะลดลงในไตรมาสที่ 2 ซึ่งแผ่วลงกว่าเดิมจากที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ภาคการส่งออกก็มีโอกาสติดลบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน"
สำหรับภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนเมษายนนั้น ภาพรวมทั้งภาครายได้ รวมถึงการใช้จ่ายภาคเอกชน หรือภาคการผลิตยังคงอยู่ในภาวะที่ทรงตัวอยู่ เมื่อบวกกับจีดีพีไตรมาสที่ 1/2558 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ที่ระดับ 0.3% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ถือว่าการฟื้นตัวยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ และยังมีความเปราะบางอยู่
ในส่วนของภาครัวเรือนนั้น ยังคงค่อนข้างระมัดระวังเรื่องของการใช้จ่ายเนื่องจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงและซ่อมแซมเครื่องจักร ซึ่งจะใช้สินค้าทุนภายในประเทศทำให้การขยายกำลังการผลิตยังไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าใดนัก โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวหน่วงคือทางด้านของสินค้าคงทน รวมถึงรายได้ภาคเกษตรที่ยังคงถูกกดดันต่อเนื่อง โดยติดลบ 19.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่รายได้นอกภาคเกษตรที่ก่อนหน้านี้มีทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ในระยะหลังมีอาการที่แผ่วลงไป
"เท่าที่สำรวจข้อจำกัดในการทำธุรกิจพบว่ามาจากข้อจำกัดของความต้องการในประเทศที่ต่ำลง ทำให้การลงทุนมีน้อย จนกว่าเศรษฐกิจในประเทศจะฟื้นตัวกลับมา อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังเอื้อการลงทุนคือเรื่องของต้นทุนทางการเงิน หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นมีการปรับตัวลดลง รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลง และการขยายตัวของสินเชื่อที่มีการปรับขึ้นเล็กน้อย"
ด้านการส่งออกยังคงอยู่ในภาวะที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง โดย 4 เดือนที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกยังคงติดลบอยู่ โดยเดือนเมษายนอยู่ที่ระดับ 1.67 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือหดตัว 1.7% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุมาจากเรื่องของราคาน้ำมันของโลกที่ปรับตัวลดลง รวมถึงอุปสงค์ของตลาดอาเซียนมีการซบเซาลงเพิ่มเติม จากผลของการชะลอตัวตามเศรษฐกิจของจีน อีกทั้งยังมีเรื่องของอุปสงค์ที่ลดลงจากความนิยมในกระแสโลก ซึ่งสินค้าของไทยไม่สามารถเกาะกระแสได้ เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และเรื่องสิทธิทางภาษี หรือจีเอสพี ที่หมดลง ส่วนการนำเข้าเดือนเมษายนมีมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยติดลบ 9.1% จากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากเรื่องของราคาน้ำมัน
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 1.04% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.02% โดยปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อแผ่วลงมาจากเรื่องของน้ำมัน และราคาพลังงานของโลก รวมถึงภาคของอาหารสดที่ราคาลดลงจากอุปทานที่ล้นตลาดและอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง โดยการคาดการณ์เงินเฟ้อมีอาการแผ่วลง อย่างไรก็ดีประชาชนทั่วไปยังมองว่าเงินเฟ้อในระยะ 1 ปีข้างหน้าน่าจะอยู่ที่ระดับ 1-3% สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายการเงิน
ด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายเดือนเมษายนยังคงเกินดุลจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ทำได้ค่อนข้างดี จากธุรกิจที่ปรึกษาทางธุรกิจ ยานยนต์ ค้าปลีก ค้าส่ง จากสิงคโปร์ สหรัฐฯ และแคนาดา รวมถึงเรื่องของสินเชื่อจากการปรับฐานนะของสถาบันการเงินในประเทศในการกู้เงินมาเพื่อทำธุรกรรมการป้องกันความเสี่ยงเรื่องของค่าเงินในส่วนของเงินตราต่างประเทศ และการได้รับชำระสินเชื่อทางการค้า
"ภาพรวมดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลจากการที่ส่งออกยังสูงกว่าการนำเข้า อีกทั้งดุลบัญชีรายได้และเงินโอนที่เป็นลบจากการนำส่งกำไรของบริษัทญี่ปุ่นในไทยกับบริษัทแม่ โดยรวมดุลบัญชีการชำระเงินเกินดุลอยู่ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเนื่องเป็นเดือนที่4"
ทั้งนี้ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน หลังจากที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยลง และการผ่อนคลายเกณฑ์เงินทุนเคลื่อนย้าย(29,30เม.ย.58) ส่งผลให้ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯมีทิศทางอ่อนค่าลงส่วนใหญ่จากการที่นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตรในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย ตามความกังวลต่อภาวะตลาดเงินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยตั้งแต่เมษายนถึงวันที่ 22พฤษภาคมความผันผวนของค่าเงินปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5%สูงกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคมที่ 3.7%และค่าเฉลี่ยปี 2557ที่ 4% ส่วนดัชนีค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับในภูมิภาคถือว่าอ่อนค่าลงตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาค
ทั้งนี้ ในระยะสั้นอาจไม่มีปัจจัยใดที่จะมาชดเชยด้านการส่งออก แต่ระยะข้างหน้ามองว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งจากสหรัฐฯ อียูและญี่ปุ่น ซึ่งจะสามารถช่วยประคองการส่งออกไปได้ระดับหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าภาคการส่งออกอาจจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจน้อยลง เนื่องจากการค้าโลกโตช้ากว่าเมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนกับจีดีพีโลก โดยไทยคงต้องพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่จะต้องทำให้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่คงไม่มีภาคส่วนใดที่จะเข้าไปทดแทนการส่งออกได้อย่างเต็มที่
"ภาคที่ยังช่วยพยุงเศรษฐกิจอยู่เป็นเรื่องของการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของภาครัฐที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเรื่องของภาคการเงินที่จะเห็นว่าต้นทุนของการระดมทุนของภาคเอกชนลดลงบ้าง และเสถียรภาพโดยรวมยังอยู่เกณฑ์ดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยภาคการท่องเที่ยวเดือนเมษายนขยายตัวได้ 18.3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา หากมองไปข้างหน้าแนวโน้มของการท่องเที่ยวยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,057
วันที่ 31 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558