จีดีพีอุตฯไตรมาสแรกดีดตัว
ได้เห็นภาวะเศรษฐกิจฟื้นชัดเจนครึ่งปีหลังจากการลงทุน
สศอ.ชี้สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มดี จีดีพีอุตสาหกรรมไตรมาสแรกดีดมาเป็นบวก 2.3 % และจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วง 6 เดือนหลัง ได้แรงหนุนจากมาตรการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ งบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนของภาคเอกชนในการตั้งโรงงานใหม่เพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัจจัยลบจากราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ การส่งออกที่หดตัว ที่จะฉุดการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมได้

นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากที่รัฐบาลได้เร่งรัดให้กระทรวงต่างๆ ดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินงาน รวมถึงการดำเนินงานในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงมาตรการชักจูงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาในประเทศไทย ค่อยๆเป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจของประเทศบ้างแล้วและจะส่งผลชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เนื่องจากจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนที่ได้รับใบประกอบกิจการโรงงานหรือรง.4 ในการตั้งโรงงานใหม่และขยายกิจการ ในช่วง 4 เดือนที่มา(มกราคม-เมษายน) มีจำนวน 1.587 พันโรงงาน มูลค่าเงินลงทุน 1.64 แสนล้านบาท จะเริ่มมีการลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม(จีดีพีอุตสาหกรรม) ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีการปรับตัวค่อนข้างดี โดยมีการขยายตัวที่ 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ติดลบ 2.7 % ทำให้สศอ.จะยังคงเป้าหมายจีดีพีอุตสาหกรรมของปีนี้จะขยายตัวอยู่ที่ 2-3% จากที่ปีก่อนติดลบ 0.4%
ขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือเอ็มพีไอ ในไตรมาสแรก ได้ขยายตัวที่ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ติดลบ 7% แม้ว่าในเดือนเมษายนที่ผ่านมาตัวเลขเอ็มพีไอ จะติดลบ 5.3% จากเดือนมีนาคม แต่ถือว่าเป็นภาวะปกติของทุกปีที่ผู้ประกอบการจะเร่งผลิตสินค้าหรือสต๊อกสินค้าในช่วงเดือนมีนาคม เพื่อรองรับการหยุดยาวจึงส่งผลให้เอ็มพีไอในเดือนเมษายนปรับตัวลดลงมาก แต่เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติจะส่งผลให้เอ็มอีไอในเดือนพฤษภาคมกลับมาเป็นบวกได้อีก ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนเมษายนขยายตัว 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกติดลบ 1.1%โดยประมาณการเอ็มพีไอทั้งปีจะยังขยายตัวอยู่ที่ 3-4%
อย่างไรก็ตาม จะต้องติดตามปัจจัยลบที่จะเข้ามาฉุดตัวเลขของจีพีดีอุตสาหกรรมและเอ็มพีไอ ที่จะเกิดจากภาวะการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก การเมืองระหว่างประเทศ และการสู้รบในตะวันออก โดยเฉพาะการฟื้นตัวภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังเป็นไปอย่างเปราะบาง การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังชะลอตัวลง รวมถึงเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป(อียู) ที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกของประเทศ
นายศิริรุจ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศ ที่มาจากกำลังซื้อในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก เนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำไม่ว่าจะเป็น ราคาข้าว ยางพารา อ้อย และมันสำปะหลัง ซึ่งหากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นราคาพืชผลทางการเกษตรได้ รวมถึงมาตรการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ที่จะดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามา จะช่วยเป็นการผลักดันให้เกิดการจับจ่ายภายในประเทศ และจะมีเม็ดเงินเข้ามาช่วยเสริมรายได้จากการส่งออกที่ลดลงได้ทางหนึ่ง
ส่วนอุตสาหกรรมที่ยังมีความน่าเป็นห่วงจะเป็นอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า เนื่องจากการบริโภคเหล็กในประเทศยังไม่มีปริมาณเพิ่มขึ้นโดยในเดือนเมษายนยอดการใช้เหล็กหดตัวลงมา 2.98 % หรืออยู่ที่ 1.3 ล้านตันต่อเดือน ขณะที่การผลิตเหล็กในประเทศอยู่ที่ 4 แสนตันต่อเดือน ลดลง 8.86% จากเดือนมีนาคม ทั้งนี้เป็นผลจากเหล็กทรงแบนลดลงต่อเนื่อง ที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมเครื่องใช้ฟ้าและยานยนต์ มีการผลิตลดลง และยังมีการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งมีราคาต่ำจากอิหร่านและบราซิลเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตเหล็กไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ขณะที่เหล็กทรงยาว ยังได้รับผลกระทบจากธุรกิจก่อสร้างที่ยังอยู่ในภาวะทรงตัวด้วยโดยจะเห็นได้จากการผลิตรถยนต์ในเดือนเมษายน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.23 % ขณะที่ยอดการจำหน่ายในประเทศลดลง 26.21% ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ปรับตัวลดลง 21.42 % เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศชะลอตัว รวมถึงการส่งออก ได้รับผลกระทบกระทบจากตลาดหลักที่ยังไม่ฟื้นตัว เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งยังรวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่การผลิตปรับตัวลดลง 19.21% เนื่องจากความต้องการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กในตลาดโลกลดลง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,057
วันที่ 31 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558