ภายในปี 2558 นี้ทั้ง 10 ประเทศอาเซียนก็จะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC อย่างเป็นทางการ สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าน่าจะสามารถขยายตัวได้ในอัตราเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ร้อยละ 4.7-5.8 ซึ่งมีแรงหนุนสำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่น่าจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอาเซียนในภาพรวม โดยเฉพาะประเทศที่การส่งออกมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม เป็นต้น กอปรกับภาพการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียน เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังมองอาเซียนเป็นเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างหนักตลอดช่วงครึ่งหลังของปี 2557 โดยลดลง เหลือเพียง 51.08 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล (ราคา Brent Crude Oil ณ วันที่ 5 ม.ค. 2557) ซึ่งนับเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี นับเป็นอีกปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจอาเซียน ผ่านฐานะดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลการคลังที่ปรับตัวดีขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ประเทศไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราวร้อยละ 2 ของ GDP ในปี 2558 นี้ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่ลดลงย่อมนำมาสู่การบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงก็มีผลลบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจอาเซียนเช่นกัน ผ่านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและประเทศผู้ส่งออกพลังงานสุทธิรายใหญ่อย่างรัสเซีย และกลุ่มประเทศสมาชิกโอเปก
นอกจากประเด็นด้านราคาน้ำมันแล้ว ในปี 2558 เศรษฐกิจอาเซียนยังมีประเด็นท้าทายที่ต้องจับตาจากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก อาทิ ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอื่นๆของอาเซียนอย่างจีน สหภาพยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น ต่างมีแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว
ตามที่คาด ซึ่งถ้าหากไม่สามารถฟื้นตัวได้ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญความผันผวนอีกครั้ง
ในขณะที่ แนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของสหรัฐฯอาจทำให้เกิดการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าเงิน และเศรษฐกิจอาเซียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะมาเลเซียและอินโดนีเซียที่
ต่างกำลังเผชิญความเสี่ยง หากนักลงทุนต่างชาติลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศ (Capital Flight) เนื่องจากสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลโดยนักลงทุนต่างชาติของทั้ง 2 ประเทศนี้อยู่ในระดับสูง
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียยังประสบปัญหาด้านการขาดดุลการคลังอีกด้วย โดยรัฐบาลมาเลเซียพยายามที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผ่านนโยบายลดค่าใช้จ่ายภาครัฐผ่านการปฏิรูปแผนพยุงราคาน้ำมันครั้งใหญ่ และเริ่มจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการ หรือ GST (Goods and Services Tax) ในวันที่ 1 เมษายน 2558 เพื่อเพิ่มรายได้ภาครัฐ และบรรลุเป้าหมายการลดสัดส่วนดุลการคลังต่อ GDP จากร้อยละ 3.5 ในปี 2557 เป็นร้อยละ 3.0 ในปี 2558 ในขณะที่อินโดนีเซีย นอกจากปัญหาขาดดุลการคลังแล้ว ยังประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอีกด้วย แต่เงินทุนสำรองที่เพิ่มสูงขึ้นของอินโดนีเซียน่าจะมีส่วนช่วยรองรับความผันผวนในตลาดการเงินของประเทศได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับประเทศกลุ่ม CLMV นั้น เวียดนามยังคงมีปัญหาต่อเนื่องในเรื่องปัญหาหนี้เสีย (NPLs) รวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ และภาคธนาคารที่อยู่ในช่วงการดำเนินการแก้ไข ในขณะที่กัมพูชา สปป.ลาว และ
เมียนมาร์นั้น การพัฒนาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค การปฏิรูประบบ และโครงสร้างสถาบันต่างๆ ยังคงเป็นความท้าทายที่รัฐบาลของกลุ่มประเทศ CLMV ต้องเร่งดำเนินการอีกมาก เพื่อมุ่งสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน