สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

อนาคตเศรษฐกิจไทยยังไม่มีคำตอบสุดท้าย
17/05/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ประเด็นเศรษฐกิจดีหรือไม่ดียังเป็นข้อกังขาในสังคมแม้การแถลงผลงานในรอบ 6 เดือนของรัฐบาลเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลประยุทธ์ยกข้อมูลเชิงประจักษ์ออกมานำเสนอชุดใหญ่เพื่อยืนยันว่า เศรษฐกิจดี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ แถลงตอนหนึ่งว่า ผลจากการเร่งรัดโครงการลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปี 2557ที่ติดลบ 0.5% กลับมาเป็นบวกตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 (ปีเดียวกัน)จนถึงไตรมาสแรกปีนี้ที่จีดีพีขยายตัวถึง 3%

+เศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว
คล้อยหลังรัฐบาลเปิดทำเนียบแถลงผลงานรัฐบาลไม่ทันข้ามสัปดาห์ วันที่ 21 เมษายน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)หรือสภาพัฒน์ได้จัดแถลงข่าวสนับสนุนรัฐบาลว่า เศรษฐกิจดีขึ้นจริงโดยนำเสนอผ่านข้อมูลชุดหนึ่ง อาทิ  ไตรมาสแรกปี 2557 เศรษฐกิจ ติดลบ 0.5 % ก่อนฟื้นตัวชัดเจนหลัง คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลระดมมาตรการใส่เข้าระบบเศรษฐกิจส่งผลให้ไตรมาสสุดท้ายปี 2557 เศรษฐกิจพลิกกลับมาเป็นบวก
สศช.ระบุว่าเหตุที่จีดีพีพลิกกลับมาเป็นบวกเป็นผลจากการฟื้นตัวของ การใช้จ่ายครัวเรือน การท่องเที่ยว ลงทุนภาครัฐ –เอกชน และการผลิตในภาคอุตสาหกรรม พร้อมกับตอกย้ำว่า "ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค  ฟื้นตัวชัดเจน"  ในแถลงของสศช.ระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่ำสุดลงมาที่ 57.7 ในช่วงชุมนุมทางการเมือง (เมษายน 2557) ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 65.4 ในเดือนมิถุนายน (2557) และขึ้นมาอยู่ที่ 67 ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 
รวมไปถึงการยืนยันว่า การลงทุนภาคเอกชน"ปรับตัวดีขึ้น" โดยยกยอดอนุมัติส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ที่มีถึง 700 โครงการมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท  การเบิกจ่ายภาครัฐ(ถูกวิจารณ์ว่าล่าช้า) สูงสุดในรอบ 5 ปีย้อนหลัง  แถมด้วยการโชว์ข้อมูลส่งออกข้าวเดือน ธันวาคม 2557 ว่าสูงเป็นประวัติการณ์ 1.4 ล้านตันเพิ่มขึ้นถึง 67 %

+กำลังซื้อไม่ฟื้นตัวตามความเชื่อมั่น                                                                               
การที่สศช.ยกข้อมูล"ความเชื่อมั่นผู้บริโภค"ขึ้นมาโชว์  เข้าใจว่าเป็นเพราะบรรยากาศเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาไม่สดใสนัก  เสียงพูดคุยในวงสนทนาตามสถานที่ต่างๆมักหยิบยกเรื่อง ภาวะการค้าการขายของร้านค้า ต่างๆในปัจจุบันที่ไม่ดี รวมถึงการ ปิดตัวของร้านรวง หรือ ลดพื้นที่ในศูนย์การค้า  ที่ถูกผนวกเหมารวมว่าเป็นผลจากเศรษฐกิจไม่ดีเข้าไปด้วย  สภาวะที่เป็นอยู่ เหมือน "ดัชนีเศรษฐกิจ" ดีเกินความรู้สึกประชาชนไป   ข้อสรุปดังกล่าวยืนยันได้จาก รายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นนักธุรกิจที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาส 2 (2558) ของแบงก์ชาติ  ที่ระบุว่า "กำลังซื้อไม่ฟื้นตามความเชื่อมั่น" โดยอ้างถึงยอดขายสินค้าคงทน ประเภท เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่เพิ่มขึ้นไม่ถึงเป้าหมาย  
สาเหตุที่ความเชื่อมั่นมาแล้ว แต่กำลังซื้อยังรีๆรอๆ เป็นไปได้ว่า ส่วนหนึ่งมาจาก  หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง (แบงก์ชาติรายงานว่า สิ้นไตรมาส 4 ปี 2557 อยู่ที่ 10.43 ล้านล้านบาทหรือ 85 % ของจีดีพี) ซึ่งทอนกำลังซื้อ  และความสามารถในการก่อหนี้ของครัวเรือน บริษัทอสังหาริมทรัพย์ และค่ายรถยนต์ให้เหตุผลที่ ยอดขายไตรมาสแรกยังเนือยๆว่า เป็นผลมาจาก"หนี้ครัวเรือน"ที่ทอนความสามารถในการบริโภค และความสามารถในการก่อหนี้ ตัวอย่างที่ถูกอ้างถึงบ่อยคือ กรณี ผู้กู้ซื้อบ้านที่ยื่นขอกู้มากกว่า 30%  ถูกปฏิเสธจากแบงก์   ส่วนสมมติฐานที่ 2 ประชาชนยังกังวลว่าอนาคตตัวเองจะมีรายได้ คงที่หรือเพิ่มขึ้น จึงเลือกจับจ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

+โค้งหลังโอเคมั้ย?
คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นขึ้นอยู่กับว่าใครจะมอง?  เมื่อมองภาพใหญ่จะเห็นว่า เศรษฐกิจไทยมีทั้งส่วนดี และไม่ดีเป็นหย่อมๆ เหมือนคำพยากรณ์ของ กรมอุตุนิยมวิทยาช่วงนี้ที่บอกว่ามีฝนตกเป็นหย่อมๆกระจายทั่วกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง ตัวอย่างเช่น  ขณะที่ภาคส่งออก หัวขบวนฉุดเศรษฐกิจไทยมานานนับทศวรรษ อยู่ในสภาพอ่อนแรงเต็มทีตัวเลขส่งออกปีนี้ โตติดลบต่อเนื่อง 3 เดือนซ้อน และติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2556 แต่ภาคท่องเที่ยวฯที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติการเมืองในปี 2557  ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญและเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจเดียวที่หวังพึ่งได้เวลานี้   ย่อยลงมาในภาคธุรกิจกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่นผู้ค้าโอดครวญกันถ้วนหน้าว่ายอดขายตก แต่ร้านอาหารส่วนใหญ่จำนวนผู้เข้าใช้บริการยังไม่เปลี่ยนแปลง

+เราผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว
เมื่อเร็วๆนี้  ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ออกมาให้ความเห็นว่า   ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจากนี้ไป ยอดส่งออกที่ลดลง 3 เดือน ติดต่อกัน (มกราคม-มีนาคม 2558) ไม่น่าจะลดลงกว่านี้อีก ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ   หากยึดตามคำคาดการณ์ของ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงหลังของปีน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องและจบด้วยจีดีพี 3.5-4 %  ตามที่หลายสถาบันออกมาคาดการณ์  แต่การประเมินเช่นนั้นเท่ากับมองความเป็นไปของเศรษฐกิจอย่างประมาทซึ่งถือว่าสุ่มเสี่ยง   แม้ภาพใหญ่ดัชนีเศรษฐกิจต่างชี้ไปในทางบวกแต่ในภาพย่อย ข่าวดีกับข่าวร้ายเศรษฐกิจอยู่ในระดับพอฟัดพอเหวี่ยงกันเลยทีเดียว

ดูส่งออกหัวขบวนฉุดเศรษฐกิจที่กำลังถูกปลดระวาง !!!  การแถลงข่าวตัวเลขส่งออกเดือนมีนาคม ของกระทรวงพาณิชย์ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย  ส่งออกไทยเดือนมีนาคม มีมูลค่า 18,886 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า  4.45% ข่าวดีก็คือตัวเลขติดลบลดลงจากเดือนก่อนหน้า (เดือนกุมภาพันธ์ส่งออกไทยติดลบ 6%) ข่าวร้ายคือกระทรวงพาณิชย์ประกาศลดเป้าส่งออกจาก 4% เหลือ 1.2 % อย่างเป็นทางการ  ในขณะที่ภาคเอกชนประเมินว่ามีโอกาสสูงที่ส่งออกปีนี้จะติดลบอีกปี เช่นเดียวกับภาคการผลิตแม้กระทรวงอุตสาหกรรมตื่นเต้นกับกำลังผลิตเดือนมีนาคมที่สูงที่สุดในรอบ 2 ปี แต่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนเดียวกันที่สำรวจโดยภาคเอกชน ปรับลดเป็นเดือนที่ 3  หรือในมุมของเสถียรภาพ ที่มี 2 มุมด้านหนึ่ง เศรษฐกิจไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันของเงินเฟ้อที่ตัวเลขติดลบต่อเนื่อง 4 เดือนซ้อน(มกราคม-เมษายน) แต่ในทางเทคนิคเศรษฐกิจกำลังเสี่ยงกับภาวะเงินฝืดมากขึ้นเป็นต้น

เช่นเดียวกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งซ้อนลงมาเหลือ 1.5 % มองในแง่ดีการส่งสัญญาณอยากเห็นดอกเบี้ยขาลงของวังบางขุนพรหมช่วยคลายความกังวลต้นทุนเงินกับผู้ประกอบการได้บ้าง และผู้ส่งออกเริ่มมีความหวังเมื่อบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ (บาทเคลื่อนไหวระหว่างวันเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ระดับ 33.34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นับว่าอ่อนค่าที่สุดในรอบ 5 ปี)  แต่ถ้ามองกลับไปอีกมุม การที่แบงก์ชาติตัดสินใจใช้ยาแรงก็หมายความว่า ภาวะเศรษฐกิจของเราอยู่ในจุดล่อแหลมเต็มที

เมื่อไตร่ตรองจากสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่และแนวโน้มที่กำลังจะเป็นไป แม้หลายฝ่ายลุ้นว่าไตรมาส 3 เศรษฐกิจทะยานขึ้นจากแรงส่งของการใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภค รวมถึงการกลับมาเฟื่องฟูของภาคท่องเที่ยว แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อสรุปดังกล่าวจะเป็นคำตอบสุดท้ายของเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไป  เพราะยังมีปัจจัยผันแปรที่อยากต่อการคาดเดารออยู่ไม่น้อยเช่นกัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,051   วันที่ 10  -  13  พฤษภาคม  พ.ศ. 2558

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.