
ปัญหาการทำไร่อ้อยของเกษตรกรส่วนใหญ่
นอกจากเรื่องความแห้งแล้งแล้ว ยังประสบกับปัญหาความอุดมสมบูรณ์ของดินค่อนข้างต่ำ
เนื่องจากการกระทำของเกษตรกรเอง ที่เลือกใช้วิธีการเผาใบและเศษซากอ้อย เพราะเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว
แต่นำมาซึ่งผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะการทำลายอินทรียวัตถุในดิน
ทำให้ประสิทธิภาพในการเพาะปลูกลดลง
นายอรรถสิทธิ์
บุญธรรม นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรี
สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขต 5 กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า
เกษตรกรชาวไร่อ้อยมีการเผาใบและเศษซากอ้อยอยู่ด้วยกัน 3 ลักษณะ คือ 1.การเผาใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว สาเหตุหลักๆ
เกิดจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวอ้อย
รวมทั้งเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตัดอ้อย 2.การเผาใบอ้อยหลังการเก็บเกี่ยว ไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดจะมีใบอ้อยคลุมดินที่เป็นเชื้อเพลิงที่อาจจะไหม้อ้อยตอ
ดังนั้นหลังเก็บเกี่ยว ก่อนอ้อยจะงอกชาวไร่จึงเผาใบอ้อยเพื่อป้องกันไฟไหม้ 3.การเผาใบและเศษซากอ้อยก่อนการเตรียมดิน
เมื่อตัดอ้อยปีสุดท้ายต้องรื้อปลูกใหม่ เกษตรกรจะเผาใบและเศษซากอ้อย เพื่อสะดวกต่อการเตรียมดินในการใช้รถแทรกเตอร์เข้าไถปรับสภาพพื้นที่
ดังนั้น
ในแต่ละปีมีพื้นที่ปลูกอ้อยมากกว่า 4 ล้านไร่ มีการเผาใบและเศษซากอ้อย โดยพื้นที่ 1 ไร่ มีใบและเศษซากอ้อยตกค้างอยู่ในไร่ประมาณ 0.63–1.51 ตัน ในแต่ละปีประเทศไทยมีการเผาใบและเศษซากอ้อยอยู่ระหว่าง
2.52–6.16 ล้านตัน ในใบและเศษซากอ้อยมีไนโตรเจนอยู่ระหว่าง 0.35–0.66%
ดังนั้นประเทศไทยจะมีการสูญเสียไนโตรเจนในดินจากการเผาใบและเศษซากอ้อย 8,820–40,656 ตันไนโตรเจนต่อปี นอกจากนี้ การเผาใบและเศษซากอ้อย
ทำให้ดินเกิดปัญหาทางด้านกายภาพของดิน ดินแน่นทึบ รากอ้อยเจริญเติบโตได้ไม่ดี
อ้อยไม่ทนแล้ง โดยเฉพาะเมื่อปีใดฝนตกน้อย
มีความแห้งแล้งสูงอ้อยที่ปลูกในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำจะแสดงอาการขาด
น้ำก่อนพื้นที่ที่ดินค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้งผลผลิตต่อไร่ลดลง
อ้อยมีการไว้ตอด้อยลงด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่าอ้อยที่มีการเผาใบจะมีหนอนกอเข้าทำลายมากกว่าอ้อยตอที่มีใบคลุมดิน
ดังนั้น การเผาจะทำให้เกษตรกรต้องลงทุนเพิ่มขึ้น
ทั้งการใส่ปุ๋ยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินหรือค่าใช้จ่ายในการรื้อตอ
เพื่อปลูกใหม่บ่อยขึ้น
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรี
จึงได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรกลการเกษตรแก้ปัญหาการเผาใบอ้อย
ที่จะช่วยลดการเผาได้ครอบคลุมทั้ง 3 ลักษณะ เริ่มจาก เครื่องตัดอ้อยสดชนิดตัดเป็นลำ
แก้ปัญหาการเผาอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว
เครื่องนี้มีส่วนประกอบหลักคือรถแทรกเตอร์ขนาด 70 แรงม้า ทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถตัดอ้อย
และอีกชุดเป็นเครื่องตัดอ้อยพร้อมถาดรับลำอ้อย
ที่ถ่ายทอดกำลังด้วยโซ่และสายพานทดแทนการใช้ระบบไฮโดรลิค
ที่สำคัญคือระบบการแยกใบอ้อยจากลำ
โดยใช้สายสลิงมายึดเกาะกับลูกกลิ้งเพื่อขัดใบออกจากลำ
ก่อนที่ลำอ้อยจะพุ่งขึ้นไปที่มีดตัดยอดและลำเลียงขึ้นสู่ถาดรับ
ซึ่งการแยกใบอ้อยออกจากลำนี้ถือเป็นนวัตกรรมที่กรมวิชาการเกษตรคิดค้นได้
เป็นรายแรก
เมื่อตัดอ้อยเสร็จเกษตรกรก็จะเผาใบอ้อยหลังเก็บเกี่ยว
จึงได้คิดค้น เครื่องสับใบระหว่างแถวอ้อยตอ ใช้สำหรับสับใบอ้อยลงดิน
ป้องกันไม่ให้ใบอ้อยที่คลุมดินไหม้อ้อยตอระหว่างแถวอ้อย
และเมื่อตัดอ้อยปีสุดท้ายต้องรื้อปลูกใหม่ เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมเผาใบเพื่อสะดวกต่อการไถพรวน
ดังนั้น จึงสร้าง เครื่องสับใบและกลบเศษซากอ้อย เพื่อทดแทนการเผาได้
โดยหนึ่งชุดจะมีผาล 2 อัน ผาลหนึ่งทำหน้าที่สับใบ อีกผาลพลิกดินกลบ
ทั้งนี้
เครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อแก้ปัญหาการเผาในไร่อ้อยทั้ง 3 เครื่องนี้ เป็นผลงานวิจัยที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุพรรณบุรี
กรมวิชาการเกษตร
คิดค้นขึ้นมาโดยคำนึงถึงเครื่องจักรกลที่เหมาะสมกับขนาดแรงม้าของรถ
แทรกเตอร์ในประเทศไทย รวมถึงประเทศกลุ่มเออีซี
ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้จดสิทธิบัตรเครื่องจักรกลดังกล่าวไว้เป็นที่เรียบ ร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม
กรมวิชาการเกษตรไม่ได้ทำหน้าที่แค่วิจัยเพื่อให้ได้ชิ้นงานหรือนวัตกรรมออก
มาเท่านั้น กรมได้จับมือกับภาคเอกชน ได้แก่ ผู้ผลิตเครื่องจักรกล
กลุ่มโรงงานน้ำตาลมิตรผล กลุ่มโรงงานน้ำตาลไทยรุ่งเรือง
เพื่อเผยแพร่ความรู้เหล่านี้ไปสู่เกษตรกรชาวไร่อ้อยต่อไป
และที่น่าภูมิใจจากผลงานดังกล่าวทำให้ได้รับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ ประจำปี 2557 ประเภทรางวัลนวัตกรรมการบริการที่เป็นเลิศระดับดีเด่น
จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
โดยมีภาคเอกชนหลายราย
นำเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรไปต่อยอดผลิตเป็นเครื่องจักรกลจำหน่าย
โดยเฉพาะเครื่องสับใบและกลบเศษซากอ้อย ที่สามารถนำประยุกต์ใช้ในการไถกลบตอซังข้าว
ตอสับปะรด หรือพืชตระกูลถั่วที่ทำเป็นปุ๋ยพืชสดได้ดี
ซึ่งขณะนี้น่าจะมีการผลิตออกมาไม่ต่ำกว่า 1,000 ชุด นั่นหมายความว่าจากผลงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตร
จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมของประเทศจากการลดเผาใบและเศษซากพืชได้อย่างดี
และการไถกลบยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน เพิ่มผลผลิตให้กับพืชผลของเกษตรกร
พร้อมกันนี้ ยังช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละมหาศาล