นโยบายฟื้น"เวสเทิร์น ซีบอร์ด" หรือการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก
กลับมาเป็นหนังม้วนเก่า มาฉายใหม่อีกครั้ง
หลังจากที่ก่อนหน้านั้นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง
ชาติ(สศช.)ทำการศึกษาความเป็นไปได้ ก็จะมีพื้นที่เป้าหมาย 6
จังหวัดกาญจนบุรี สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร
และถ้าเวสเทิร์น ซีบอร์ดจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีอุตสาหกรรมหนักในพื้นที่ เช่น
โรงถลุงเหล็ก โรงงานผลิตเหล็กแปรรูปขั้นปลาย โรงไฟฟ้า
และมองว่าโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ภาครัฐโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ
ไทย(กนอ.) ต้องนำร่อง
โดยความพยายามผลักดันให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก
ครั้งนี้ดูจริงจังมากขึ้น หลังจากที่ จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมยึดที่ทำการกระทรวงอุตสาหกรรม
หารือกับกลุ่มผู้บริหารสหวิริยาก่อนหน้านี้ โดยท่าทีภาคเอกชนเหมือนแบ่งรับ
แบ่งสู้ ยังไม่พร้อมเปิดปากผ่านสื่อถึงความชัดเจนดังกล่าว
ในขณะที่ซีกรัฐบาลอาศัยโหนกระแสนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษประกาศเดินหน้าเวส
เทิร์น ซีบอร์ด โดยยกประเด็นต่อยอดของที่มีอยู่แล้ว
(หมายถึงที่ดินกว่า9พันไร่ของกลุ่มสหวิริยา ที่ อ.บางสะพาน
จ.ประจวบคีรีขันธุ์) พัฒนายกระดับขึ้นมาเป็นแหล่งลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก
ที่ยังต้องติดตามว่าสุดท้ายแล้วครม.เศรษฐกิจจะได้ข้อสรุปอย่างไรต้องจับตาดู
นับแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป

ท่าเรือนํ้าลึกของกลุ่ม “สหวิริยา” ที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
-ชงปลุกเวสเทิร์นผุดโรงถลุงเหล็ก
ดู
รูปการแล้วยังไม่กล้าฟันธงว่า ถึงที่สุดแล้ว โครงการ"เวสเทิร์น
ซีบอร์ด"จะกลับมาผงาดได้จริงหรือเปล่าด้วยเหตุผลที่รัฐบาลคสช.(คณะรักษาความ
สงบแห่งชาติ)มีช่วงเวลาบริหารประเทศ
ระยะสั้นการผลักดันโครงการขนาดใหญ่อย่างเวสเทิร์น ซีบอร์ด
ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เร็ว ยกเว้นว่าถ้ารัฐบาล คสช.
จะสามารถปลุกโครงการนี้ขึ้นมาได้แค่ระยะตั้งไข่แล้วจารึกไว้เป็นลายลักษณ์
อักษรว่า หากรัฐบาลใหม่เข้ามาต้องสานต่อก็จะเหนือความคาดหมาย
เพราะถ้าทำได้จะยิ่งเพิ่มดีกรีความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไทยอย่างกลุ่มสหวิริ
ยาในฐานะเจ้าของที่ดินที่ลงทุนลงแรงมาก่อนมีความหวังมากขึ้น
ที่จะได้เห็นการลงทุนในพื้นที่บูมขึ้นมาได้เสียที
ในขณะที่ทุนต่างชาติจะมองว่านโยบายส่งเสริมลงทุนในเวสเทิร์น ซีบอร์ด
มีความต่อเนื่องมั่นใจว่านโยบายไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว
นอกจากนี้ยังต้องมาลุ้นด้วยว่าทุนต่างชาติ
รายเดิมๆ อย่างบริษัท นิปปอนสตีลฯและเจเอฟอี สตีล จากญี่ปุ่น หรือทุนเกาหลี
เช่น กลุ่มพอสโก
ที่เคยสนใจแสดงเจตจำนงจะเข้ามาตั้งโรงถลุงเหล็กในประเทศไทยผ่านทางสำนักงาน
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เมื่อหลายปีก่อน
อยากจะกลับมาปัดฝุ่นผุดโครงการดังกล่าวอีกครั้งหรือไม่ในขณะที่ท่ามกลาง
เศรษฐกิจโลกยังไม่ดี บริษัทแม่ต่างระแวดระวังการลงทุนนอกบ้านมากขึ้น
เช่นเดียวกับที่เวลานี้ประเทศไทยมีคู่แข่งจากเพื่อนบ้านที่มาแรงและเหนือ
กว่าในเรื่องค่าแรงงานขั้นต่ำ ราคาที่ดิน
รวมถึงการรุกคืบชูนโยบายเปิดประเทศมากขึ้น
ทำให้ทุนต่างชาติต้องกลับมาชั่งน้ำหนักกันใหม่อีกครั้งว่าควรตอกเสาเข็มใน
ประเทศไหนถึงจะได้ผลตอบแทนกลับไปที่คุ้มค่าที่สุดในเวลานี้
-ชี้ที่บางสะพานไม่ใช่เวสเทิร์นฯ
ต่อกรณีดังกล่าวมาฟังมุมมองของนักวิชาการ ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์
สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)ด้านพลังงานแสดงความเห็นว่าไม่เห็นที่เรียก
ว่าพื้นที่ของสหวิริยาที่ อ.บางสะพานเป็น เวสเทิร์น ซีบอร์ด
เพราะเป็นฝั่งอ่าวไทย
ส่วนความคิดที่จะมีโรงถลุงเหล็กเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่
เพื่อมาสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ อู่ต่อเรือ
โดยที่ยังมีรัฐบาลคอยให้การสนับสนุนให้การปกป้องคุ้มครองอยู่ก็ไม่เห็นด้วย
อีกเช่นกัน เพราะอุตสาหกรรมเหล็กจะได้รับการคุ้มครองมาโดยตลอดทั้ง
มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี)มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
(เซฟการ์ด)
นอกจากนี้เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วโรงถลุง
เหล็กในประเทศไทยเมื่อเกิดขึ้นมาก็ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่
อย่างจีน เกาหลี อินเดียได้
ในขณะที่การผลักดันตั้งโรงไฟฟ้าเพื่อมาซัพพอร์ตโรงถลุงเหล็กก็ต้องเจอแรง
ต้านจากชุมชนอยู่เนื่องๆ
ส่วนพื้นที่ที่เหมาะสมพร้อมที่จะเรียกว่า
เป็น"เวสเทิร์น ซีบอร์ด" ได้น่าจะเป็นที่ปากบารา จ.สตูล หรือที่
จ.พังงาและที่กระบี่
ที่เป็นจุดเชื่อมมีถนนมาที่ขนอมก็น่าจะเป็นอีกจุดที่น่าสนใจ
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นพื้นที่ที่ยังมีเสียงคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่อยู่
นอกจากนั้นยังมองถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่มี
ศักยภาพตั้งโรงถลุงเหล็กในพื้นที่ที่ทวาย ประเทศเมียนมาร์
ในส่วนนี้ถ้าไทยมีข้อตกลงด้านความร่วมมือกับเมียนมาร์ได้ก็จะได้ประโยชน์
ร่วมกัน โดยนักลงทุนทั่วโลกจะให้ความสนใจ
เพราะทางหนึ่งเมื่อเข้าไปลงทุนแล้วจะได้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร
(จีเอสพี) อีกทั้งค่าแรงงานขั้นต่ำถูกกว่า
รวมถึงในเมียนมาร์ก็เริ่มเปิดประเทศ
จะมีการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในมากขึ้น
-ยังต้องลุ้นเกิดไม่เกิด
สำรวจ
มุมมองของผู้เชี่ยวชาญในวงการเหล็กหลายราย
ตั้งข้อสังเกตว่าการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก
มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในพื้นที่หลายจังหวัดที่อยู่ติดทะเลและเชื่อมโยงถึง
ประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนการกลับมาผลักดันให้เกิดโรงถลุงเหล็กนั้น
มั่นใจว่าส่วนนี้ เลยความสนใจของกลุ่มสหวิริยาไปแล้ว
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผิดหวังกับการผลักดันให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
จนต้องล้มเลิกไปเมื่อปี 2550 จนสุดท้ายเมื่อปลายปี 2553
เอสเอสไอได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ Corus UK กิจการในกลุ่ม Tata Steel
เพื่อเข้าซื้อโรงงานถลุงเหล็กกล้าครบวงจร Teesside Cast Products (TCP)
ซึ่งตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษมูลค่าประมาณ 469
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
โดยมีสถาบันการเงินให้การสนับสนุน เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย
ดังนั้นถ้าจะเกิดโรงถลุงเหล็กขึ้นในประเทศ
ไทยน่าจะเกิดจากกลุ่มทุนต่างชาติในพื้นที่อีสเทิร์น ซีบอร์ด ณ
ที่ใดที่หนึ่ง
ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนในพื้นที่ของกลุ่มสหวิริยาก็ได้เพราะมีความพร้อมด้าน
โครงสร้างพื้นฐานไปแล้วบางส่วนโดยเฉพาะท่าเรือน้ำลึก
จะเห็นว่าการผลักดันให้เกิดโรงถลุงเหล็กขึ้นในประเทศไทยมีความพยายามมาแล้ว
เกือบ 30 ปี ตั้งแต่รุ่นบุกเบิกของคนในวงการเหล็กเช่น วิทย์ วิริยประไพกิจ
จากกลุ่มสหวิริยา, สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง อดีตผู้บริหารกลุ่มเอ็นทีเอส สตีล
,สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล กลุ่มจี สตีล
ที่โชกโชนสุดขีดในยุคอุตสาหกรรมเหล็กบูมช่วงเศรษฐกิจเกิดฟองสบู่ระหว่างปี
2532-2538
ที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยเติบโตในอัตราที่สูงมากส่งผลให้อุปสงค์ของเหล็ก
เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ยุคนั้นจึงเกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กอย่างคึกคักจนมาตกหลุมอากาศเมื่อปี
2540 ด้วยพิษวิกฤติเศรษฐกิจจนเซียนวงการเหล็กหลายรายต้องล้มบนฟูก
ส่วนหนึ่งก็ถูกซื้อกิจการหรือถูกเปลี่ยนมือไป
รวมถึงการโบกมือลาวงการเหล็กไปเลย จนมาถึงเจเนอเรชันที่ 2
ก็ยังผลักดันไม่สำเร็จกลายเป็นมหากาพย์ที่ร่ายยาวมาจนถึงทุกวันนี้
โครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด
และโรงถลุงเหล็กจะเกิดขึ้นหรือไม่ รอไม่เกินเดือนพฤษภาคมนี้ ดูว่ามติ
ครม.เศรษฐกิจ ที่มีรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานหัวโต๊ะจะทุบโต๊ะให้ เวสเทิร์น ซีบอร์ด
เดินหน้าต่อหรือส่งสัญญาณแท้งอีกรอบยังต้องมีลุ้น!!!
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,045 วันที่ 19 - 22 เมษายน พ.ศ. 2558