
“ประสาร” ระบุ ศก.ไทยปีนี้เผชิญความท้าทาย หลังปีที่แล้วเจอปัญหารุมเร้าทั้งนอก-ใน จนเป็นคนป่วยเจอ 3 โรค “ไข้หวัดใหญ่-เข่าเสื่อม-ขาดความมั่นใจ” ธปท.ต้องใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน เข้ามารักษา ชื่นชม รบ.ตั้งใจสร้างเชื่อมั่น เชื่อจะทำให้ศก.ฟื้นตัวไม่ช้า...
เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาเรื่อง ความท้าทายของนโยบายการเงิน กับการก้าวข้ามพัฒนาการเศรษฐกิจไทย ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2558 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ซึ่งมีตอนหนึ่งระบุว่า ปี 2558 เป็นปีที่ไทยได้พบกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ที่เป็นความหวังให้ไทยเดินหน้า และก้าวข้ามอุปสรรคที่เราเผชิญอยู่ได้ โดยปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับเศรษฐกิจไทยปีหนึ่ง โดยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่แท้จริง ที่สภาพัฒน์ได้ประกาศไปในเดือนที่ผ่านมา ชี้ว่าเศรษฐกิจเติบโตเพียงร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน
“เรียกได้ว่าแทบจะไม่เติบโตเลย เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เข้ามารุมเร้าทั้งจากปัจจัยภายในและ ภายนอกประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีสภาพเหมือน “คนป่วย” ที่มีอาการซ้ำซ้อนในหลายด้าน ทั้งการบริโภค การลงทุนและการส่งออกที่อ่อนแรง ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายภาครัฐที่ถูกคาดหวังให้เป็นพระเอกในช่วงหลังจากมีรัฐบาลใหม่ ยังไม่สามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจให้กลับมาเป็นปกติได้ สาเหตุหนึ่งอาจมาจากรัฐบาลเองมีบทบาทต่อประเทศหลายด้านพร้อมกัน ทั้งการปฏิรูปประเทศและการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกระบวนการปฏิรูปฯ ส่วนหนึ่งไปชะลอความรวดเร็วในการใช้จ่ายภาครัฐ”
พร้อมระบุ เศรษฐกิจไทยป่วยจากการเผชิญกับโรค 3 ชนิด โดยโรคแรก คือ ไข้หวัดใหญ่ จากเศรษฐกิจไทยที่ติดโรคมาจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ซึ่งไทยย่อมได้รับผลกระทบอย่างปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งจีน พี่ใหญ่ของภูมิภาคกลับมีการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้มาก นอกจากนี้ ไทยยังสูญเสียสิทธิทางศุลกากร (GSP) กับประเทศคู่ค้าหลักของเราตั้งแต่ต้นปี 2558 ทำให้คู่แข่งที่ยังคงได้ GSP อย่างกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ และเวียดนาม) ย่อมได้เปรียบมากกว่า โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้แรงงานเป็นปัจจัยการผลิตหลัก ดังนั้น ความหวังที่จะดันให้การส่งออกของไทยก้าวขึ้นมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้ เศรษฐกิจอาจมีไม่มากนัก
ส่วนโรคที่สอง คือ โรคข้อเข่าเสื่อม จนทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปด้วยความลำบากหรือแทบไม่สามารถเดินหน้าต่อไป ได้ จากปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย ซึ่งได้แก่การขาดแคลนการลงทุนหรือพัฒนาเทคโนโลยีให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ อาทิ มาเลเซีย เกาหลี ขณะเดียวกัน แรงงานก็มีไม่เพียงพอต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมทั้งในแง่จำนวนและคุณภาพ ซึ่งไทยจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นในอุตสาหกรรมที่ ใช้แรงงานเข้มข้น และไม่มีแรงงานทักษะเพียงพอสำหรับการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อเข่าที่พยุงเศรษฐกิจได้มานาน ได้เสื่อมสมรรถภาพลงจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และทำให้ไทยติด “กับดักรายได้ปานกลาง”
โรคสุดท้าย คือ โรคขาดความมั่นใจ ที่ซ้ำเติมทำให้โรคข้อเข่าเสื่อมไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง เพราะผู้ประกอบการไม่มั่นใจว่า 1. เปลี่ยนเข่าแล้วจะเดินได้เหมือนเดิม หรือจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง 2. วิธีการรักษาจะถูกกับโรคหรือเปล่า และ 3.หมอหรือภาครัฐที่ดูแลเราจะตั้งใจรักษาเราแค่ไหน เศรษฐกิจไทยจึงเหมือนคนไข้ที่มุ่งพยุงสังขารตัวเองไปเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่จะเห็นการบริโภคและลงทุนของภาคเอกชนอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ภายใต้โรคที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยทั้ง 3 ชนิดนี้ บทบาทที่ ธปท. สามารถเข้ามาช่วยรักษาได้ คือการใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน ซึ่งเปรียบเสมือนการจ่าย “ยารักษาโรค” สู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดูแลความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และควบคุมเงินทุนไหลเข้าไหลออก ซึ่งช่วยดูแลเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพทางการเงินให้เกิดบรรยากาศทาง เศรษฐกิจที่เหมาะสมและเอื้อต่อการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน แต่เป็นการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการของโรคทั้ง 3 นี้ และสามารถช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ได้บางส่วนเท่านั้น
“การจะรักษาที่ต้นเหตุของโรคนั้น จำเป็นต้องอาศัยบทบาทภาครัฐในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังเพื่อเรียก ความเชื่อมั่นในส่วนที่เหลือกลับมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจในการปรับตัว เพื่อพยายามรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วยตัวเองอีกแรงหนึ่งในเรื่องนี้ รัฐบาลปัจจุบันแสดงความตั้งใจที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน จึงเป็นนิมิตหมายอันดีต่อเศรษฐกิจไทย และผมเชื่อว่า ไม่มีปัญหาไหนจะอยู่กับเราถาวร เมื่อวันหนึ่งปัญหาคลี่คลาย ผมก็เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในที่สุด”