
พาณิชย์เผยส่งออกเดือน ม.ค.ลดลง 3.46% แต่นำเข้าลดมากกว่าถึง 13% ขาดดุลการค้า 457 ล้านเหรียญฯ เหตุราคาน้ำมันดิ่ง ฉุดราคาสินค้าที่เกี่ยวเนื่องลดตาม ยันเป้าส่งออกเดิม 4% ขณะเดียวกันสยบข่าวลือทุบราคาปาล์มสด ยันไม่มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบเพิ่ม หลังผลสำรวจพบสต๊อกเข้าสู่ปริมาณสมดุล
ขณะที่นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือนม.ค.58 มีมูลค่าการส่งออก 17,249 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว 3.46% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 563,218 ล้านบาท หดตัว 2.34% การนำเข้ามีมูลค่า 17,705 ล้านเหรียญฯ หดตัว 13.33% เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 584,830 ล้านบาท ส่งผลให้มีดุลการค้าขาดดุล 457 ล้านเหรียญฯ หรือขาดดุล 21,612 ล้านบาท
“แม้เดือนม.ค. มูลค่าการส่งออกจะลดลง แต่กระทรวงพาณิชย์ยังคงยืนยันเป้าหมายมูลค่าส่งออกปีนี้การขยายตัว 4% เช่นเดิม เพราะเป็นเป้าหมายการทำงาน อย่างไรก็ตาม วันที่ 11-16 มี.ค.นี้ ทูตพาณิชย์ไทยที่ประจำอยู่ทั่วโลกจะเดินทางมาไทย จะถือโอกาสนี้ประชุมสอบถามสถานการณ์ส่งออกไทยในประเทศต่างๆ เพื่อวางแผนผลักดันให้มูลค่าส่งออกขยายตัวได้ตามเป้าหมาย”
ส่วนปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่แข่ง นั้น จากการหารือกับผู้ส่งออก พบว่า ผู้ส่งออกไม่ต้องการให้ค่าเงินบาทผันผวนมากเกินไป ต้องการให้มีเสถียรภาพ เพื่อจะได้กำหนดราคาขายสินค้าได้อย่างเหมาะสม แต่ยอมรับว่า ค่าเงินที่แข็งค่ามากกว่าของคู่แข่ง จะกระทบต่อศักยภาพการส่งออกของไทยบ้าง แต่ปัจจุบันในบางตลาด สินค้าไทยไม่ได้แข่งขันด้วยราคาอีกแล้ว แต่แข่งขันด้วยคุณภาพ ประโยชน์การใช้สอยที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ รูปแบบ และดีไซน์ หากตรงกับความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ราคาแพงไม่ใช่เรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดญี่ปุ่น อาเซียนบางประเทศ สหรัฐ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นหมวดสินค้าส่งออก พบว่า หมวดสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร มูลค่าการส่งออกลดลง 13% ตามการลดลงของสินค้าข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป น้ำตาล แต่สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี เช่น ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป, ไกสดแช่แข็งและแปรรูป ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 0.6% ซึ่งเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่มีการสร้างกระแสข่าวในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการปลูกปาล์มน้ำมันว่ารัฐบาลกำลังจะพิจารณาให้มีการนำ เข้าน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มเติม ว่า กระทรวงพาณิชย์ขอยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ จากต่างประเทศเข้ามาอีก เพราะขณะนี้สถานการณ์ได้เข้าสู่ภาวะปกติ โดยปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลืออยู่ในภาวะสมดุลต่อความต้องการใช้ และผลผลิตปาล์มทลายเริ่มออกสู่ตลาดแล้ว ทำให้ปัญหาการตึงตัวหมดไป
“ตอนนี้มีการปล่อยข่าว เพื่อเหตุผลอะไรไม่รู้ แต่ได้ส่งผลกระทบทางจิตวิทยา ทำให้ราคาผลปาล์มตกลงมาบ้าง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอยืนยันว่าไม่มีแนวคิด ไม่มีการเสนอ เพื่อขออนุมัติให้มีการนำเข้าน้ำปาล์มดิบจากต่างประเทศเพิ่มเติมแต่อย่างใด เพราะขณะนี้สถานการณ์เป็นปกติแล้ว เกษตรกรไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครซื้อผลปาล์มสด”
สำหรับการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบก่อนหน้านี้ปริมาณ 5 หมื่นตัน ได้นำเข้ามาครบตามจำนวน และได้จัดส่งให้โรงงานกลั่นทำการบรรจุขวดและได้ขายออกสู่ท้องตลาดแล้ว ซึ่งภายใต้เงื่อนไขการนำเข้า ได้กำหนดให้ผู้ที่ได้โควตานำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ จะต้องรับซื้อน้ำมันปาล์มเข้ามาในสัดส่วนเดียวกันกับที่ได้โควตา ซึ่งขณะนี้ก็มีการซื้ออยู่ โดยล่าสุดราคาผลปาล์มคละอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 5.20-5.40 บาท แต่หากเป็นผลปาล์มที่เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% ราคาก็จะสูงกว่านี้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกไปตรวจสอบปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบที่เก็บไว้ในคลังของจังหวัดต่างๆ ประมาณ 29 จังหวัด จำนวน 170 คลัง ซึ่งพบว่า มีปริมาณน้ำมันปาล์มดิบสมดุลกับปริมาณความต้องการใช้ ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เพียงพอในปัจจุบันนี้ และยังได้มีการออกตรวจสอบสถานการณ์ปริมาณผลผลิตในจังหวัดต่างๆ ซึ่งพบว่าผลปาล์มดิบกำลังจะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือน มี.ค. 2558 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบกลับเข้าสู่ภาวะปกติ