
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า แม้ตัวเลขส่งออกเดือน ม.ค.ขยายตัวติดลบ 3.46% แต่ดัชนีชี้วัดด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเติบโตดีขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐปรับตัวดีขึ้น ทำให้ภาพรวม ภาวะเศรษฐกิจเดือนม.ค. และไตรมาสแรกของปี มีทิศทางดีขึ้น และดีต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเติบโต 2.3% ของจีดีพี ทำให้ สศค. คาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เติบโต 3.9% ของจีดีพี
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปีนี้ จะดีกว่าไตรมาส 4 ของปีที่แล้วแน่นอน เพราะมาตราต่างๆ ของรัฐบาล เช่น การลงทุนที่มีการเบิกจ่าย ล่าช้าในต.ค.57-ม.ค.58 เริ่มทำสัญญาและประมูลงานมากขึ้นในเดือนก.พ.และเดือนมี.ค.นี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีงบลงทุนเพื่อซ่อมสร้างและบูรณะถนนทั่วประเทศ 4 หมื่นล้านบาท มาตรการแก้ไขปัญหาความยากจน อีกเกือบ 2 แสนล้านบาท และการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท รวม 1.8 หมื่นหมู่บ้าน
สำหรับยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่เดือนม.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 9.5% ต่อปี เมื่อขจัดผลทางฤดูกาลออก พบว่า ขยายตัวได้ 6.8% ต่อเดือน ขณะที่ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ขยายตัวเป็นบวกเดือนแรก 14.5% ต่อปี
ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนม.ค.58 อยู่ที่ 69.7 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมยัง ฟื้นตัวช้า และราคาสินค้าเกษตรปรับตัว ลดลงต่อเนื่อง
สำหรับสถานการณ์การคลัง รัฐบาลขาดดุล งบประมาณเดือนดังกล่าว 5.76 หมื่นล้านบาท จากการจัดเก็บรายได้สุทธิได้ 1.58 แสนล้านบาท ขณะที่เบิกจ่ายงบประมาณทำได้ 2.15 แสนล้านบาท ขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวใน หมวดก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์เดือนม.ค.58 ติดลบ -5.8% ต่อปี ส่วนภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 จากการเร่งโอนอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการลงทุนหมวดเครื่องมือเครื่องจักร หดตัวที่ลบ -4.5% ต่อปี
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศ คงอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศยังอยู่ในระดับมั่นคง รองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนม.ค.58 ติดลบ -0.4% ต่อปี สาเหตุหลักจากการลดลงของราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ส่วนการว่างงานอยู่ที่ 1.1% หรือคิดเป็นผู้ว่างงาน 4.04 แสนคน ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง 1.55 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 2.7 เท่า