สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

กสิกรไทยคาดส่งออกไทยไปอินเดียปี 58 โต 6.5-8.0%
01/03/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์"คาดปี’58 ส่งออกไทยไปอินเดียโตร้อยละ 6.5-8.0 บนเส้นทางเศรษฐกิจอินเดียขยายตัว  "

ประเด็นสำคัญ
• เป็นที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียในปี 2558 จะมีภาพการเติบโตในระดับสูงสวนทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยล่าสุดทางการอินเดียปรับตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2557/58 อยู่ที่ร้อยละ 7.4 และอาจเติบโตต่อเนื่องแตะร้อยละ 8 ในปีงบประมาณ 2558/59 (จากการปรับการคำนวณแบบใช้ฐานใหม่) สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของประเทศ
• ปัจจัยที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในระยะถัดไป คือภาคการบริโภคและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นหลักในขณะที่ภาคการส่งออกของอินเดียได้รับผลกระทบจากความเปราะบางของเศรษฐกิจและ ค่าเงินที่อ่อนค่าของคู่ค้าอย่างสหภาพยุโรป อย่างไรก็ดีการปฏิรูปที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อสร้างเสถียรภาพระยะยาวและการเร่งการกระชับความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับประเทศเศรษฐกิจสำคัญจะช่วยเสริมภาคการลงทุนและการค้าของอินเดีย ช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตในระยะยาว
• ทั้งนี้ นับเป็นโอกาสของธุรกิจไทยภายใต้อานิสงส์ของเศรษฐกิจอินเดียที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ความต้องการในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเป็นโอกาสสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยด้วย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกของไทยไปอินเดียในปี 2558 จะเติบโตได้ดีกว่าตลาดอื่นๆ ในกรอบร้อยละ 6.5 ถึง 8.0 โดยมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 5,980 - 6,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 8.36 ในปี 2557

อินเดียสะท้อนภาพประเทศที่มีศักยภาพเติบโต จากตัวเลขประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปรับการคำนวณโดยใช้ฐานใหม่ในปีงบประมาณ 2557/58 เติบโตอยู่ที่ร้อยละ 7.4 จากร้อยละ 6.9 ในปีก่อนหน้าใกล้เคียงการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2558 ที่ธนาคารโลก (World Bank) ปรับประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลงจากร้อยละ 3.4 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 (มกราคม 2558) จากการที่เศรษฐกิจในหลายประเทศมีการขยายตัวอย่างไม่เป็นไปตามคาด

โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียในปี 2558 เติบโตยังคงเป็นภาพต่อจากปี 2557 ในการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การใช้นโยบายที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจระยะยาว รวมไปถึงการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอินเดียที่ในปี 2558 จะเห็นภาพในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งจะเอื้อต่อในการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งด้านการค้าและการลงทุนที่นอกจากจะช่วยให้ภาคการค้าและการลงทุนของอินเดียเติบโต ยังจะมีส่วนช่วยทางอ้อมสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปยังอินเดียในหมวด สินค้าอุตสาหกรรมให้เติบโตได้ในภาวะที่ตลาดส่งออกหลักสำคัญๆ ของไทยหลายแห่ง อาทิ จีนและญี่ปุ่นชะลอตัว
    
เศรษฐกิจอินเดียมีภาพการเติบโตดีขึ้นจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในอินเดียอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการเข้ามาบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่เมื่อกลางปี 2557  ที่พยายามแก้ไขปัญหาโจทย์เศรษฐกิจที่เรื้อรังทั้งการขาดดุลการคลัง การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจของอินเดียในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนภาพที่เป็นบวกมากขึ้น โดยตัวเลขดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Index of Industrial Production: IIP) ของภาคการทำเหมืองแร่ ภาคการผลิต และภาคการผลิตไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2557/58 (ช่วงเดือนเมษายน-พฤศจิกายน 2557) ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.5, 1.1 และ 10.7 (YoY) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2556 ที่อยู่ที่ร้อยละ (-2.1), (-0.4) และ 5.4 ตามลำดับ อีกทั้งภาคบริการซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยดัชนีภาคการบริการ (Service PMI) ล่าสุดในเดือนมกราคม 2558 อยู่ที่ 52.40 ซึ่งดัชนีที่สูงกว่า 50 เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันสะท้อนภาวะขยายตัวในภาคการบริการของอินเดีย
    
ขณะที่รัฐบาลอินเดียประมาณการว่าเศรษฐกิจอินเดียในปีงบประมาณ 2557/58 อาจเติบโตร้อยละ 7.4 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 6.9 ในปีงบประมาณ 2556/57 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption) ที่มีสัดส่วนราวร้อยละ 60 ของจีดีพี คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 7.1 การบริโภคภาครัฐ (Government Consumption) สัดส่วนร้อยละ 11.7 ของจีดีพี อาจเติบโตร้อยละ 10 ในขณะที่ภาคการลงทุน (Capital Formation) สัดส่วนร้อยละ 29 ของจีดีพี อาจเติบโตร้อยละ 4.1 เร่งขึ้นจากในปี 2556/57 ที่เติบโตร้อยละ 6.2, 8.2 และ 3.0 ตามลำดับ
    
สำหรับภาคต่างประเทศนั้น  แม้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของอินเดีย) จะหนุนการส่งออก แต่เศรษฐกิจคู่ค้าหลักอื่นๆ ที่ชะลอตัว ทั้งกลุ่มประเทศยุโรปและตะวันออกกลางที่ยังต้องจับตาประเด็นเสถียรภาพทาง เศรษฐกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้การส่งออกอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดียในปี 2558
    
อย่างไรก็ดี เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น สะท้อนจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อจีดีพีที่มีแนวโน้มลดลง ส่วนหนึ่งได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับต่ำ ดุลการคลังของภาครัฐที่ขาดดุลลดลงเช่นกันจากการยกเลิกนโยบายอุดหนุนด้านพลังงาน  รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 5.1ในเดือนมกราคม 2558 จากระดับร้อยละ 8.8 เดือนมกราคม 2557 ล้วนเปิดทางให้ทางการอินเดียสามารถดำเนินนโยบายการเงินและการคลัง เพื่อดูแลการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียได้อย่างหลากหลายมากขึ้น อันจะเป็นผลดีต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนของประเทศในภาพรวม  
    
สำหรับภาพเศรษฐกิจอินเดียในระยะถัดไปยังมีแนวโน้มเชิงบวก โดยการปฏิรูปโครงสร้างและการแก้ไขโจทย์เศรษฐกิจเพื่อการสร้างเสถียรภาพระยะ ยาว และการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้จะเป็นแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเห็นผลในระยะยาว แต่ได้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนในอินเดียอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในอินเดีย (FDI) ในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2557 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เทียบกับที่หดตัวร้อยละ 3.3 ในปี 2556 โดยการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์นั่ง (เติบโตร้อยละ 39) คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์(ร้อยละ 140) เคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 27) การแปรรูปอาหาร (ร้อยละ 103.4) เครื่องจักรอุตสาหกรรม (ร้อยละ 57.4) อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า (ร้อยละ 143) และปุ๋ย (ร้อยละ 990) เป็นต้น ในขณะที่การลงทุนในภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมเติบโตร้อยละ 151 โดยในส่วนโรงแรมและร้านอาหารเติบโตร้อยละ 161 และการท่องเที่ยวเติบโตร้อยละ 107
     
นอกจากนี้ การเยือนอินเดียของผู้นำประเทศเศรษฐกิจสำคัญในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนศักยภาพของประเทศในสายตาของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งนอกจากประเทศเหล่านั้นจะได้ประโยชน์จากการร่วมมือกันแล้ว ในมุมมองของอินเดียการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอินเดียในหลากหลาย มิติจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาทางโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งในด้านความมั่นคงทางพลังงานที่เป็นประเด็นที่อินเดียให้ความสำคัญ รวมไปถึงด้านการลงทุนและการค้าที่จะเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    
โดยที่ผ่านมาอินเดียมีการเจรจาและลงนามด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศ เศรษฐกิจหลัก อาทิ การลงนามความร่วมมือด้านความมั่นคง พลังงานและการยกระดับการค้าระหว่างอินเดีย-รัสเซีย ข้อตกลงทางเศรษฐกิจระหว่างอินเดีย-จีน ที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ รถไฟ นิคมอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ข้อตกลงระหว่างอินเดีย-ญี่ปุ่นที่เน้นการลงทุนโดยตรงในภาคการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงาน รวมไปถึงล่าสุดข้อตกลงด้านความร่วมมือระหว่างอินเดีย–สหรัฐฯ ที่ครอบคลุมด้านพลังงาน ความมั่นคง การค้าและการลงทุน  ในขณะที่ข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างอินเดีย–ออสเตรเลีย ที่คาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงภายในสิ้นปี 2558 จะมีส่วนช่วยอินเดียในด้านการถ่ายโอนความรู้และเทคโนโลยี รวมไปถึงการลงทุนที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านการเกษตรที่เป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ ของอินเดีย โดยข้อตกลงภายใต้การเจรจาดังกล่าว หากมีการเร่งดำเนินการและเกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้นผ่าน FDIs ที่หลั่งไหลเข้าสู่อินเดียและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ย่อมสะท้อนถึงโอกาสการค้าและการลงทุนที่จะเติบโตในระยะข้างหน้าของอินเดีย ที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสธุรกิจในห่วงโซ่การผลิตของ อุตสาหกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
      
อินเดียเป็นตลาดส่งออกอันดับ 11 ของไทย ครองสัดส่วนราวร้อยละ 2.5 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ในขณะที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 24 ของอินเดีย ครองสัดส่วนราวร้อยละ 1.2 ของการนำเข้าทั้งหมดของอินเดีย ทั้งนี้ ในปี 2557 ที่ผ่านมา การค้าระหว่างไทยและอินเดียเติบโตเกินคาด โดยการส่งออกไทยไปอินเดียมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 5,614.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.36 เติบโตในสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ ทองแดง เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก รวมไปถึงสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว
    
ในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตของภาคการส่งออกของไทยไปอินเดีย น่าจะเป็นผลจากการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอินเดียของภาครัฐ การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลากหลายมิติที่จะเป็นตัวเร่งการเติบ โตให้ภาคการลงทุนและการค้าของอินเดีย  ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกไทย ที่อาศัยข้อได้เปรียบภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีตามกรอบ India-Thailand Free Trade Agreement (ITFTA) และ ASEAN-India Free Trade Agreement (AIFTA) เป็นตัวหนุนสินค้าส่งออกที่เกี่ยวเนื่องในภาคการผลิตทั้งผลิตเพื่อบริโภคใน ประเทศและเพื่อส่งออก ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในระยะข้างหน้าน่าจะช่วยให้กำลังซื้อ ของชาวอินเดียเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ความต้องการสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภคของไทยมีโอกาสทำตลาดใน อินเดียได้มากขึ้น

โดยในปี 2558 อินเดียจะเป็นตลาดส่งออกในไม่กี่ตลาดของไทยที่จะยังเติบโตได้ในระดับค่อนข้างดีท่ามกลางตลาดหลักของไทยที่ชะลอตัว

• สินค้าส่งออกของไทยไปอินเดียที่คาดว่าจะยังเพิ่มขึ้นในระยะถัดไปอยู่ใน สินค้ากลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ทองแดง รถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ที่เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมการผลิตอินเดียที่จะเติบโต สูงในกลุ่มเครื่องจักร อุปกรณ์และชิ้นส่วน การเพิ่มขึ้นของ FDI โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐที่เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค
• ในขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภค อาทิ เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว สินค้าอาหารและอาหารแปรรูปจะเติบโตจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนทางตรงในภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมเติบโตร้อยละ 151 (ในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2557)
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาการนำเข้าของอินเดียในกลุ่มสินค้าสำเร็จรูป อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเข้าไปลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ในขณะที่กลุ่มสินค้าขั้นต้น ขั้นกลางที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตทั้งการผลิตเพื่อส่งออกหรือเพื่อบริโภคจะ ยังเติบโตได้
จากปัจจัยข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ภาพรวมการส่งออกจากไทยไปอินเดียในปี 2558 น่าจะเติบโตในกรอบร้อยละ 6.5 ถึง 8.0 ต่อเนื่องจากปี 2557 ที่เติบโตสูงส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในปี 2556 โดยมีมูลค่าการส่งออกในปี 2558 อยู่ที่ประมาณ 5,980 - 6,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ในการพิจารณาช่องทางการเข้าสู่ตลาดอินเดียนั้น สำหรับสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางมีโอกาสจากการเติบโตของภาคการลงทุน จากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในภาคการผลิตจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่รู้จัก กันในแคมเปญ Make in India ในขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคของไทยที่มีโอกาสเข้าสู่ตลาดอินเดียภายใต้กำลัง ซื้อที่เพิ่มขึ้นนั้น ผู้ประกอบการควรเน้นหาคู่ค้าในอินเดียเป็นผู้นำเข้าหรือห้างสรรพสินค้าราย ใหญ่ โดยเจาะกลุ่มตลาดผู้บริโภคระดับกลาง-บน สำหรับสินค้าอาหารควรเป็นสินค้าที่สามารถเก็บได้นาน เนื่องจากขั้นตอนการนำเข้าและตรวจสอบสินค้าอาหารใช้ระยะเวลานาน รวมไปถึงระบบโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าในประเทศอินเดียยังอยู่ระหว่างการ พัฒนา โดยตลาดที่มีศักยภาพ อาทิ กรุงนิวเดลี  เมืองมุมไบ (รัฐมหาราษฏระ) เดห์ราดูน (รัฐอุตตราขัณฑ์)ไฮเดอราบาด (รัฐอานธรประเทศ)  เจนไน (รัฐทมิฬนาฑู) อาร์มดาบาด(รัฐคุชราต) และกัลกัตตา (รัฐเบงกอลตะวันตก) เป็นต้น
 
สำหรับแนวโน้มค่าเงินรูปีเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯที่อยู่ในทิศทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับปลายปี 2557 น่าจะไม่กระทบต่อการนำเข้าสินค้าไทยของอินเดียในภาพรวม อีกทั้งโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทยไปยังตลาดอินเดีย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้าวัตถุดิบขั้นต้น/กลาง ซึ่งน่าจะสนับสนุนให้สินค้าส่งออกจากไทยเพิ่มขึ้นตามการเติบโตในภาคการผลิตของอินเดีย อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการไทยยังต้องติดตามประเด็นการพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในระยะข้างหน้าที่อาจจะส่งผลให้ค่าเงินรูปีแกว่งตัวผันผวนอ่อนค่าและส่งผลกระทบต่อการนำ เข้าสินค้าของอินเดีย ตลอดจนส่งผลถึงกำลังซื้อของประชาชนในประเทศที่จะลดลง

ทั้งนี้ ถึงแม้ความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศในระดับผู้นำจะส่งผลให้ อินเดียมีแนวโน้มด้านบวกในทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการไทยยังจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวในการนำไปสู่ขั้นตอนการปฏิบัติ ทั้งประเด็นเรื่องของกฎระเบียบในเชิงปฏิบัติที่ซับซ้อนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ความชัดเจนในด้านการจัดเก็บภาษีและคู่แข่งทางด้านธุรกิจที่มีข้อได้เปรียบเพิ่มขึ้นจากข้อตกลงภายใต้ความร่วมมือทางการค้ากับบางประเทศอาจจะทำให้ไทยเสียตลาดในสินค้าบางรายการ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไทยอาจมีสัดส่วนตลาดน้อยลงจากการเข้าไปลงทุนของญี่ปุ่น นอกจากนี้การค้าระหว่างไทยและอินเดียที่ยังมีอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers: NTB) ประกอบกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนและลดการขาดดุลการค้าของรัฐบาลอินเดียที่เน้นการผลิตในประเทศมากกว่าการนำเข้า อาจเป็นการลดโอกาสในการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและอินเดีย ซึ่งผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าขั้นกลาง หากมีความพร้อมและมีพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ ควรพิจารณาโอกาสด้านการลงทุนในอินเดียเพื่อผลิตสินค้าป้อนสู่ห่วงโซ่การผลิตในอินเดียแทนการส่งออกในระยะข้างหน้า

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.