สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

บริโภค-ลงทุนดันจีดีพีไตรมาส4ปี’57โต2.3% สภาพัฒน์การันตีเศรษฐกิจฟื้น
19/02/2015
ข่าวเศรษฐกิจ
สศช.สรุปจีดีพีทั้งปี’57 ขยายตัว 0.7% ยืนยันเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี พร้อมคงเป้าจีดีพีปี’58 ที่ 3.5-4.5% โดยมีแรงสนับสนุนจากการส่งออก การลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยว รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ แต่ยังต้องระวังปัจจัยเสี่ยงจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เศรษฐกิจโลกผันผวน ค่าเงินบาทแข็ง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2557 พบว่าจีดีพีขยายตัว 2.3% ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนจากการขยายตัว 0.6% ในไตรมาส 3 ปี 2557 โดยปัจจัยสนับสนุนทำให้เศรษฐกิจไตรมาส 4 ปรับตัวดีขึ้น มาจากการบริโภค การลงทุนของภาคเอกชน การส่งออก และรายจ่ายเพื่อการอุปโภคของภาครัฐ ทั้งหมดปรับตัวดีขึ้น

โดยพบว่าการใช้จ่ายครัวเรือนขยายตัว 1.9% ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 69.6 สูงกว่าระดับ 69.3 ในไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคของภาครัฐเพิ่มสูงขึ้นจากละ 0.4% ในไตรมาส 3 ขณะที่การลงทุนรวมขยายตัว 3.2% และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.1%

ส่วนการส่งออกขยายตัว 1.5% ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวติดลบ 1.7% ในไตรมาส 3 คิดเป็นมูลค่าส่งออก 56,763 ล้านบาท ดังนั้น ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี 2557 ขยายตัว 0.7% ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2558 สศช.ยังคงตัวเลขการขยายตัวไว้ที่ 3.5-4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ของภาคส่งออกตามทิศทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของการลงทุนจากภาคเอกชนและการท่องเที่ยว รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณโครงการสำคัญของภาครัฐ การลดลงของราคาน้ำมันตลาดโลก

สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปี 2558 ประกอบด้วย 1.ราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ระดับต่ำมาจากสินค้าเกษตรบางชนิดมีสต๊อกอยู่มาก ขณะที่ปริมาณการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรบางชนิดผลิตออกสู่ตลาดยังมีปริมาณ สูงเมื่อเทียบกับความต้องการ ทำให้เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่ง 2.เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่แน่นอน 3.การแข็งค่าของเงินบาทที่ยังแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค และ 4.อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง อาจส่งผลกระทบอัตราดอกเบี้ยแท้จริงมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวผู้ที่กำกับนโยบายด้านการเงินจะต้องดูแลให้อัตราดอกเบี้ย อยู่ในภาวะที่เหมาะสม เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจด้วย

“การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีข้อจำกัด และปัจจัยเสี่ยงจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในภาวะตกต่ำ ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจ และการเงินโลกที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และแนวโน้มการอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศสำคัญๆ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังปรับตัวเพิ่มขึ้น” นายอาคมกล่าว

ส่วนปัจจัยเงินเฟ้อที่ลดลงกำลังนำไปสู่ภาวะเงินฝืดหรือไม่นั้น นายอาคม กล่าวว่า การพิจารณาปัจจัยว่าจะมีภาวะเงินฝืดหรือไม่ ต้องดูจากหลายปัจจัยทั้งราคาสินค้า รวมทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเติบโตของรายได้ ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยหลังยังเป็นไปในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเงินฝืดเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง โดยหลายประเทศหากอัตราเงินเฟ้อลดลงใกล้ระดับ 0 ก็จะมีมาตรการออกมาทันที ดังนั้น ย้ำอีกครั้งว่าผู้ดูแลนโยบายการเงินจะต้องดูแลให้อัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในการบริหารทิศทางเศรษฐกิจปี 2558 นี้ก็คือภาครัฐต้องให้ความสำคัญเรื่องการค้าชายแดน โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ขณะเดียวกันต้องดูแลให้การเติบโตด้านการค้าสอดรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน(เออีซี) รวมทั้งเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานและใช้เงินลงทุนพัฒนาเขต เศรษฐกิจต่างๆ โดยในช่วงไตรมาส 1/2558 คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 2.3% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น ความเชื่อมั่นภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ การลดลงของราคาน้ำมันและสถานการณ์ในประเทศที่มีความสงบเรียบร้อยมากขึ้น

“ปีนี้ยังคงต้องจับตาการผลักดันการส่งออกและการท่องเที่ยวให้ขยายตัวต่อ เนื่อง และเป็นศักยภาพการเร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชน และภาครัฐควบคู่ไปกับการดูแลภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากความตกต่ำของ ราคาสินค้าในตลาดโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน” นายอาคม กล่าว

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว โดยการบริโภคภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น แต่ที่ยังน่าเป็นห่วงคือ ภาคการส่งออก ที่คาดว่า ปีนี้จะขยายตัวเพียง 1-2% เพราะยังมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และสินค้าส่งออกของไทย ยังไม่ทันสมัย จึงทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรปรับโครงสร้างการผลิต นำเข้าเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อการผลิตสินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากขึ้น

โดยในช่วงเวลานี้ถือว่า เหมาะสม เนื่องจากเงินบาทมีทิศทางแข็งค่า และสภาพคล่องในระบบยังไม่ตึงตัว ไม่ควรรอการลงทุนของภาครัฐเป็นตัวนำเพราะหากจะนำเข้าในช่วงปลายปี อาจเกิดปัญหาสภาพคล่องลดลง จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่จะมีผลให้เงินทุนไหลออก และเงินบาทอาจอ่อนค่า โดยเห็นว่า อัตราแลกเปลี่ยนไม่ใช่ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการส่งออก เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แม้เงินบาทอ่อนค่า แต่การส่งออกก็ยังหดตัว ดังนั้นจึงเห็นว่า เอกชนไม่ควรกดดันธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงก์ชาติ) ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำคือ 2% เพื่อให้เงินบาทอ่อนค่า

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.