- สถานการณ์เหล็กโลก
ปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กเกิดขึ้นในปี 2557 เหตุเพราะในอดีตทั่วโลกมีการใช้เหล็กเพียง 500 ล้านตัน มาถึงปี 2551 จีนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจึงต้องเร่งการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ ในขณะที่ภายในประเทศเองจีนเร่งกำจัดโรงงานผลิตเหล็กที่ปล่อยมลพิษและหันไปสร้างโรงงานใหม่ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2550 และนับจากนั้นมาเหล็กจำนวนมหาศาลก็ถูกผลิตขึ้นมาถึง 1,616 ล้านตัน ในปี 2557 หันมามองเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กของจีน ดัชนีชี้วัดแสดงให้เห็นว่ามีอัตราการขยายตัวเรื่อยมา ขณะที่สต๊อกสินค้าเหล็กสำเร็จรูปและการนำเข้าลดลงทั้งหมดนี้คือสัญญาณภาพรวมที่ชี้ว่า จีนผลิตเหล็กออกมามากก็ส่งออกมาก ปริมาณการผลิตเหล็กดิบของจีนปีที่ผ่านมาน่าจะอยู่ที่ 822 ล้านตัน เหลือใช้ในประเทศ 200 ล้านตัน มีสินค้าสำเร็จรูปในสต๊อก 10 ล้านตันต่อเดือน ขณะที่ไทยมีความต้องการใช้เหล็กแค่ 17-18 ล้านตันต่อปีเท่านั้น
- มองสถานการณ์เหล็กไทย
สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กไทยในปี 2557 ถึงปัจจุบัน มีความต้องการใช้เหล็ก 18 ล้านตัน ในจำนวนนี้ไทยผลิตได้เอง 8 ล้านตัน หรือร้อยละ 30-35 ที่เหลืออีก 12.5 ล้านตัน หรือประมาณ 60 ต้องนำเข้าหล็ก
จากญี่ปุ่น 4.49 ล้านตัน จีน 2.5 ล้านตัน และเกาหลี 1.3 ล้านตัน มีการส่งออกเล็กน้อยอาทิ เหล็กเส้นมีการส่งออกไป สปป.ลาวมากขึ้น สัดส่วนประมาณ 5% อินโดนีเซียมีการส่งออกเหล็กทรงแบนมากขึ้นเช่นกัน
ทิศทางการใช้เหล็กดีขึ้น หลัก ๆ มีการใช้อยู่ใน 8-10 อุตสาหกรรม ประกอบด้วย 1) การก่อสร้าง 50% มีการใช้เหล็กแผ่น เหล็กทรงยาว และเหล็กท่อ 2) ระดับ High-end 20% ในโรงงานกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ 3) โรงงานผลิตอาหาร 30% มีการใช้เหล็กกล้าไร้สนิม รวมถึงอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ส่วนใหญ่จะนำเข้าเหล็กคุณภาพสูงจากประเทศเจ้าของแบรนด์รถยนต์
อย่าง ไรก็ตามกระบวนการพัฒนาและผลิตเหล็กของประเทศไทยแตกต่างจากต่างประเทศมากนั่น คืออุตสาหกรรมเหล็กจะต้องเริ่มต้นจากโรงถลุงแร่เหล็ก-กระบวนการปรุง-การรีด- การขึ้นรูปและ อุตสาหกรรมต่อเนื่อง แต่อุตสาหกรรมเหล็กไทยกลับเริ่มต้นที่กระบวนการรีด ตามมาด้วยการขึ้นรูป และจบลงที่ต่อเนื่อง ความจริงข้อนี้จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้าเหล็กจาก ต่างประเทศ
- ปัญหาของไทยในปัจจุบัน
มันเริ่มขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หลังจากที่จีนส่งออกเหล็กไปยังประเทศต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งสหรัฐ-อินเดีย รวมทั้งอาเซียนและไทย โดยเหล็กที่ส่งออกจากจีนมีการใส่ "อัลลอย" เข้าไป (เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจากพิกัดหนึ่งไปสู่อีกพิกัดหนึ่ง) มีผลทำให้จีนไม่เสียภาษีทั้งขาเข้าและขาออก ประกอบกับเหล็กจากจีนมีราคาขายต่ำกว่าปกติถึง 20% ส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กล้นตลาดอย่างจงใจ ดังนั้นเหล็กราคาถูกจากจีนจึงหลั่งไหลเข้ามาในปริมาณมาก
- ประเทศไทยทำอย่างไร
ขณะนี้เราได้คุยกับทางผู้นำอาเซียนเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กขั้นกลาง แต่เราพบปัญหาว่า มาตรการของรัฐบาล (การเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด Anti-dumping : AD) ที่ออกมาปกป้องเหล็กรีดร้อนนั้น กลับกระทบกับเหล็กรีดเย็นและเมื่อออกมาตรการมาปกป้องเหล็กรีดเย็นก็กลับกระทบกับเหล็กเคลือบ จนกระทบกันเป็นลูกโซ่ไปจนถึงผู้ทำลวดเหล็ก
การใช้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti dumping: AD) มันห้ามเลือดได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น จริง ๆ แล้วมันต้องทำต่อเนื่องคือการดูแลผู้เกี่ยวข้องด้วยกัน ต้องดูแลอุตสาหกรรมเหล็กด้วยกันเองและอุตสาหกรรมปลายน้ำ เพราะราคาเหล็กตลาดโลกจริง ๆ แล้วไม่ได้ผันแปรมาก
ปัจจุบันอุตสาหกรรมเหล็กเริ่มมีการปรับตัวเข้าหากันทั้งผู้ค้ารวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ช่วงของการปรับตัวมันเริ่มนิ่งแล้วตอนนี้ ดังนั้นแนวทางที่จะแก้ไขได้ในระยะยาวก็คือ 1) พัฒนาต่อเนื่อง 2) ดูแล และ 3) มาตรการกำกับดูแลด้านราคา ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์จำเป็นต้องเข้ามาช่วย โดยเฉพาะกรมการค้าภายใน นั่นจึงจะเข้าสู่ดุลยภาพมากที่สุดในเชิงปริมาณ
ส่วนเชิงคุณภาพนั้น อย่างน้อยประเทศไทยต้องปรุงน้ำเหล็กให้ดีเพื่อใช้ประกอบและผลิตสินค้าได้เอง ดังนั้นกระบวนการอุตสาหกรรมเหล็กไทยจึงควรไปที่จุดเริ่มต้นคือการถลุงเหล็ก เราเคยคุยกับภาครัฐถึงแนวทางการตั้งโรงถลุงเหล็กขึ้นมาเองในประเทศ โดยใช้สินแร่-ถ่านหิน ขณะนั้นรัฐบาลยังไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าประเทศไทยไม่มีแหล่งของสินแร่เหล็กหรือถ่านหินที่จะสามารถนำมาถลุงเหล็กเองได้
ตรงนี้ผมอยากจะบอกว่าทั้งเกาหลี-ญี่ปุ่นเองก็ไม่มีวัตถุดิบเหมือนไทย แต่ญี่ปุ่นสามารถนำสินแร่เหล็ก-ถ่านหินเข้ามาจากสหรัฐ บราซิล แคนาดาได้ ราคาในตลาดโลกก็ไม่ได้สูงมากจนเกินไป
ดังนั้นแนวทางในการตั้งโรงถลุง เหล็กเองในประเทศก็คือการแก้ปัญหาอุตสาหกรรมเหล็กทั้งหมดในระยะยาวที่ ยั่งยืนไม่ใช่ไทยไม่มีเงินทุนแต่เรายังไม่เข้าไปทำความเข้าใจกับชุมชน ว่าจะทำยังไงกับวัตถุดิบและมลพิษ เมื่อ 10 ปีที่แล้วเราเคยคุยกับอาเซียนถึงความจำเป็นที่ไทยต้องมีอุตสาหกรรมต้นน้ำ ถัดมาอีก 2 ปี เวียดนามวางกำหนดที่จะตั้งโรงงานถลุง 6 โรงในประเทศตนเอง แต่เนื่องจากมีปัญหาด้านการร่วมทุนจากต่างชาติทำให้ตั้งสำเร็จเพียง 3 โรง มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 300,000 ล้านบาท ผมไม่สงสัยในศักยภาพของไทยกับความสามารถที่จะตั้งโรงงานถลุงเหล็กเอง เรื่องเงินทุนไม่ใช่ปัญหาเพราะเราจะใช้วิธีร่วมทุนกับต่างชาติเหมือนใน เวียดนาม ซึ่งที่ผ่านมามีนักลงทุนญี่ปุ่น 3 รายเข้ามาหารือถึงการร่วมทุนดังกล่าวบ้างแล้ว
สุดท้ายแล้วปัญหาที่สำคัญที่สุดในการตั้งโรงถลุงเหล็กคืออะไร ผมว่าการทำความเข้าใจกับชุมชนในปัจจุบันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
---------------