บอร์ดยุทธศาสตร์เร่งคลอดกฎหมายลูกพ.ร.บ.ร่วมลงทุนรัฐและเอกชน (PPP) เปิดโอกาสเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประธานเจโทรพบ “ประยุทธ์” ย้ำเชื่อมั่นในศักยภาพไทยยืนยันลงทุนต่อเนื่อง

นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานจะประชุมเพื่อสรุปการทำกฎหมายลูกของ พ.ร.บ.ร่วมลงทุนรัฐและเอกชน (PPP) ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้โครงการ PPP ดำเนินการได้ หลังจากที่กฎหมายผ่านมาเป็นเวลา 2 ปี
หลักการสำคัญคือโครงการที่มีมูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท หากไม่ได้เป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานก็ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนิน การได้ทันที เพื่อความรวดเร็ว แต่หากเป็นโครงการที่เป็นโครงการสร้างพื้นฐาน ต้องเสนอเข้ามาให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ PPP พิจารณาก่อน ส่วนโครงการลงทุนที่มูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาท ต้องเสนอให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ PPP พิจารณาก่อนทั้งหมด เพราะถือเป็นโครงการมีมูลค่าสูง
นายสมหมายกล่าวว่า โครงการลงทุนของไทยที่สามารถทำ PPP ได้ มีทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ ที่รัฐบาลไทยได้เซ็นความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น รวมถึงโครงการสร้างสนามบิน ท่าเรือ และถนน ก็สามารถทำแบบ PPP ได้ เพื่อลดภาระงบประมาณ ซึ่งในส่วนของการดำเนินการ PPP รัฐบาลต้องเร่งฝึกอบรมให้ความรู้ เรื่องการดำเนินการ การเจรจา การตีมูลค่าโครงการ โดยขณะนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียมาให้ความรู้ เพราะเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการทำ PPP มากว่า 20 ปี
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาไปถึงการตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อระดมทุนไปถึง ขนาดใช้สิทธิการบริหาร หรือ การหารายได้ เช่น การบริหารสนามกอล์ฟ มาออกเป็นหน่วยลงทุน จากที่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ของไทย สามารถนำได้แค่อาคารและที่ดินไปออกหน่วยลงทุนระดมเงินได้เท่านั้น
นายสมหมายกล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีแต่ที่การเบิกจ่ายในเดือนมกราคม 2558 ยังล่าช้าเพราะอยู่ในช่วงของการเจรจาทำสัญญา และมีปัญหาเรื่องการลดมูลค่าโครงการทำตามราคาน้ำมันที่ลดลงได้ข้อสรุปยุติ แล้ว ก็จะทำให้การเบิกจ่ายออกมาได้รวดเร็วมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังกังวลเรื่องการส่งออกของไทยปีนี้จะขยายตัวติดลบ เป็นเรื่องที่ไวเกินไปที่จะตัดสินเช่นนั้น เพราะปัญหาการส่งออกมีหลายเรื่องและรัฐบาลรับทราบปัญหาแล้ว และได้พยายามหาทางแก้ไข นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ดูแลค่าเงินตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
“การเบิกจ่ายต่อไปจากนี้ไปจะกระฉูดแล้ว จะมีการเบิกจ่ายต่อเนื่อง เป็นผลดีกับเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องปัญหาการส่งออกเป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายจะคิดได้ว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่รัฐบาลได้ดูแลติดตามปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด” นายสมหมาย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น นายฮิโรยูกิ อิชิเกะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี โดยย้ำว่าปัจจุบันการปฏิรูปเศรษฐกิจถือเป็นวาระสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นต้องเรียนรู้จากประเทศไทย
ขณะที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยให้ความสำคัญแก่เจโทร และการลงทุนของญี่ปุ่นซึ่งนับเป็นประเทศที่ลงทุนในไทยเป็นอันดับ 1 ซึ่งการเยือนครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจะลงนาม MOC ส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจไทยในญี่ปุ่นระหว่างเจโทร และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรี หวังให้เจโทรเร่งรัดการฝึกอบรมความรู้ในอุตสาหกรรม เทคโนโลยีต่างๆ และการจัดตั้งสถาบันวิจัยในไทย เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเกิดผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ต้องการให้ญี่ปุ่นเพิ่มเติมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ หรือ IHQ (International headquarters) ในประเทศไทย ซึ่งประธานเจโทรยืนยันจะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่องโดยนักลงทุนญี่ปุ่นยังคง เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นประสบอุปสรรคด้านการลงทุนในไทย เนื่องจากมาตรการที่เข้มงวด จึงขอฝากให้นายกรัฐมนตรีช่วยพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นความก้าวหน้าของความร่วมมือ และการขยายตัวด้านการลงทุน เนื่องจากญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะกลับมาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งจะขยายกรอบความร่วมมือด้านคมนาคม เชื่อมโยงไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นผลดีในการสร้างความเชื่อมั่นทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคักและเป็นที่สนใจในการลงทุน ส่งผลเศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสขยายตัว 4-5%