กสอ.ตั้งเป้า 5 ปี ดึงทุนเอสเอ็มอีญี่ปุ่นลงทุน 500 ราย หวังยกระดับเอสเอ็มอีไทยได้รับการถ่ายถอดเทคโนโลยี ด้านสมาคมฯรับช่วงผลิต เผยความสำเร็จ ปีที่ผ่านมาสร้างรายได้จากการจับคู่ทางธุรกิจกว่า 1 หมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยต่อในปีนี้ และออกไปมองหาตลาดในต่างประเทศ ยันเอสเอ็มอีญี่ปุ่นไม่ได้เข้ามาแย่งงาน

นายสมเกียรติ ชูพรรคเจริญ นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตว่า ในปี 2558 นี้ ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) มีแผนที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี สาขาอุตสาหกรรมสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการดึงนักลงทุนเอสเอ็มอีของญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุนกับเอสเอ็มอีของ ไทย ในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์การแพทย์ หรืออุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อเป็นการเชื่อมโยงธุรกิจและถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างประเทศร่วมกัน
โดยกสอ.ตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน 5 ปี (ปี 2558-2562) ตั้งเป้าหมายนักลงทุนเอสเอ็มอีที่จะเข้ามาร่วมลงทุนประมาณ 500 ราย หรือตกปีละ 100 ราย ตามนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่สนับสนุนให้เอสเอ็มอีของตัวเองออกไปทำธุรกิจใน ต่างประเทศ 1 หมื่นรายทั่วโลก เพื่อแก้ปัญหาการปิดกิจการที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศ หากสามารถดึงนักลงทุนกลุ่มนี้เข้ามาได้ตามจำนวนดังกล่าว จะเป็นการช่วยให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจและการลงทุนค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ เห็นได้จากในช่วงปีที่ผ่านมาทางสมาคมฯได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับ 3 จังหวัดของญี่ปุ่น ได้แก่ จังหวัดยามานาชิ จังหวัดโทโทริ และจังหวัดนากาโนะ เพื่อจับคู่ทางธุรกิจอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีไทยและญี่ปุ่น สามารถก่อให้เกิดการเชื่อมโยงธุรกิจเป็นจำนวนมาก จากที่ได้เดินทางไปจับคู่ธุรกิจ 5-6 ครั้ง สามารถก่อให้เกิดรายได้ 2-3 พันล้านบาทต่อครั้ง หรือสร้างรายได้กว่า 1 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ขึ้นมามาก ที่อาศัยเทคโนโลยีจากการถ่ายถอดของนักลงทุนญี่ปุ่น และยังช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทยให้ดีขึ้น ซึ่งในปีนี้ก็มีแผนที่จะออกไปจับคู่ทางธุรกิจอีก 5-6 ครั้งเช่นกัน
ส่วนที่มีการมองว่าเอสเอ็มอีของญี่ปุ่นที่เข้ามา จะมาแย่งภาคการผลิตของไทยนั้น หากจะมองในลักษณะนี้ก็มองได้ เพราะที่ผ่านมาเป็นการเข้ามาลงทุนตามบริษัทแม่ที่ย้ายฐานการผลิตมาไทย ซึ่งได้มีสัญญาที่ทำกันไว้อยู่แล้ว หรือเป็นการค้าขายกันเอง แต่ก็เป็นการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่เอสเอ็มอีไทยยังไม่สามารถผลิตป้อนได้
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า สิ่งที่สมาคมฯและกสอ.พยายามจะร่วมกันผลักดัน คือจะทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการ ไทย ไม่ได้เข้ามาลงทุน 100% เหมือนอย่างในอดีต เพราะผู้ประกอบการไทยก็มีศักยภาพในการผลิต แต่ยังขาดการถ่ายทอดเทคโนโลยี ดังนั้น เมื่อเอสเอ็มอีที่จะเข้ามาเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ก็จะต้องยกระดับการพัฒนาให้ผู้ประกอบการไทยไปด้วยกันด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาคมพยายามผลักดันให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจให้มากที่สุด
อีกทั้งในปีนี้ จะนำพาสมาชิกของสมาคมฯไปดูลู่ทางการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะไปดูโอกาสการลงทุนที่เมียนมาร์ ในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากที่มีสมาชิกได้ออกไปลงทุนบ้างแล้ว เช่น กัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม คิดเป็นประมาณ 10% ของสมาชิกที่ออกไป ส่วนหนึ่งต้องการหนีค่าจ้างแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และเพื่อต้องการหาตลาดใหม่รองรับ
ปัจจุบันสมาคมฯมีสมาชิกกว่า 400 ราย จากปี 2555 ที่เคยมีสมาชิกอยู่ 326 ราย สร้างรายได้ถึง 1.1 แสนล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 1.5 หมื่นคน โดยสมาคมฯตั้งเป้าหมายที่จะให้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันรายในระยะอันใกล้นี้ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสนับสนุนต่างๆ
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.) กล่าวว่า ในปีนี้กสอ.มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการในสาขาอุตสาหกรรม สนับสนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบุคคลากรและผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิต ในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และพลาสติก ประมาณ 3 หมื่นคน การพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักร 2 พันกิจการ การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อในการปรับปรุงเครื่อง จักร เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยอย่างน้อย 500 กิจการ เป็นต้น